“ทวี” ชี้ “กมธ.ตร.” ขึ้นดูงานชั้น 14 รพ.ตำรวจได้ เผยต้นเดือน ธ.ค.ผู้ตรวจการแผ่นดินก็เข้าไปแล้ว ยันไม่หนักใจเรื่อง ”ทักษิณ” เป็นเผือกร้อน บอกงานจะเป็นตัวพิสูจน์ เชื่อ “พีระพันธุ์” มีวิจารณญาณ ไม่ทำนอกกฎหมาย ย้ายงานตามความเหมาะสม ไม่เกี่ยวเอื้อประโยชน์ใคร
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีได้ลงนามคำสั่งมอบหมายให้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในส่วนของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเดิมนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ได้ดูแลในส่วนนี้อยู่ ว่าทั้งนายสมศักดิ์และนายพีระพันธ์ุเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งจากที่ตนได้คุยกับนายสมศักดิ์ ทราบว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีงานในมือจำนวนมาก ขณะที่ตัวนายสมศักดิ์เองก็มีงานมากขึ้น และนายพีระพันธ์เคยผ่านงานส่วนนี้มาก็น่าจะเข้าใจ
ในส่วนของนโยบายกระทรวงยุติธรรมก็ยึดตามนโยบายของรัฐบาล คือจะต้องทำงานปกป้องคุ้มครองประชาชน ให้ปลอดภัยจากปัญหาอาชญากรรม และได้รับการคุ้มครองเรื่องสิทธิเสรีภาพ รวมทั้งมิติทางความคิด แทนที่จะให้ประชาชนเข้าหาความยุติธรรม ความยุติธรรมต้องเข้าหาประชาชน และยกระดับนิติธรรมให้เข้มแข็ง เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ
ส่วนที่ถูกมองว่าการปรับเปลี่ยนตำแหน่งในครั้งนี้ อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อนายทักษิณ และเป็นการปูทางให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับประเทศไทย พันตำรวจเอกทวี ระบุว่า นายพีระพันธ์ุคงไม่ทำอะไรที่นอกเหนือกฎหมาย เช่นเดียวกับกระทรวงยุติธรรมที่ต้องทำทุกอย่างตามกฎหมาย โดยจะเห็นว่าพ.ร.บ. ราชทัณฑ์ ที่ออกเมื่อปี 2560 ก็ไม่ใช่พ.ร.บ.ที่รัฐบาลนี้ตั้งขึ้นมา และหมายเหตุท้ายพ.ร.บ.ก็เขียนไว้ชัดเจน ว่ากฎหมายเดิมขัดต่อหลักสากล โดยเฉพาะการไม่สามารถดำเนินการตาม พฤตินิสัย เพราะไม่มีที่ควบคุมหรือที่คุมขังอื่น จึงมีเฉพาะเรือนจำจึงมีการเขียนกฎหมายนี้ให้มีมาตรา 33 และ 34 การไม่ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ถือว่าไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม จึงมีการออกกฎกระทรวงกฎระเบียบและออกประกาศ ซึ่งไม่ได้ออกเพื่อคนใดคนหนึ่ง นายพีระพันธ์ุจะทำนอกกฎเกณฑ์นี้ ก็คงเป็นไปไม่ได้
เมื่อถามว่ากรณีของนายทักษิณ หากคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ ก็จะถือเป็นการปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของกฎหมายใช่หรือไม่ พันตำรวจเอกทวี ระบุว่า ระเบียบและกฎเกณฑ์ต่างๆ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยประกอบ ถ้าเป็นคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาอาจจะไม่ต้องเข้าไปควบคุมตัวในเรือนจำ หรือใช้สถานที่อื่น ซึ่งกระบวนการนี้มีคณะกรรมการจากหลายฝ่ายร่วมกันพิจารณา ส่วนกรณีที่มีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บอกว่าเรื่องนี้ก็ต้องรับฟัง บ้านเมืองเราเป็นประชาธิปไตย แต่ก็ต้องยึดตามกฎหมาย และไม่ได้ทำเพื่อคนใดคนหนึ่ง
ส่วนอาการของนายทักษิณในปัจจุบันนั้น อธิบดีกรมราชทัณฑ์ยังไม่ได้ส่งความเห็นล่าสุดมาให้ ซึ่งกรณีที่ไปรักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 120 วัน ต้องขอความเห็นชอบจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ โดยมีความเห็นชอบของแพทย์ผู้ตรวจ และหลักฐานอื่นประกอบ ซึ่งในทางกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าจะเกินได้มากน้อยแค่ไหน แต่โดยส่วนตัวมองว่าไม่ควรเกิน 1 สัปดาห์ พร้อมเปิดเผยว่าตนเองไม่เคยขึ้นไปเยี่ยมนายทักษิณ แต่ในวันที่เข้าไปตอบกระทู้สดที่สภา มีโอกาสได้พบกับแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งแพทย์ยืนยันว่านายทักษิณป่วยจริง
ส่วนกรณีที่กมธ.การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร จะเดินทางไปดูงานที่โรงพยาบาลตำรวจ ในวันที่ 12 มกราคม 2567 นั้นพันตำรวจเอกทวี ระบุว่า ในส่วนของราชทัณฑ์เปิดกว้างอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีหลายคณะเข้าไปดูงาน ซึ่งเป็นสิทธิ์ของราชทัณฑ์ และตนได้ให้นโยบายว่าต่อไปนี้ควรจะเปิดเรือนจำให้คนที่มีความสงสัยเข้าไปดูได้ แต่ก็ต้องมีหลักเกณฑ์
เมื่อถามว่ากรรมาธิการจะสามารถขึ้นไปชั้น 14 ได้หรือไม่ พันตำรวจเอกทวี ระบุว่า ระบบการเยี่ยมมีอยู่แล้ว ส่วนที่ก่อนหน้านี้ที่นายสมศักดิ์ระบุว่าไม่สามารถขึ้นไปเยี่ยมได้นั้น ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะข่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ผู้ตรวจการแผ่นดินก็ได้ขึ้นไปชั้น 14 มาแล้ว เนื่องจากมีคนร้องเรียน สามารถทำได้ตามอำนาจขององค์กรอิสระ ซึ่งตนทราบเรื่องนี้จากรายงาน
ทั้งนี้พันตำรวจเอกทวี ยืนยันว่าไม่หนักใจ ที่ถูกจับตาในเรื่องของนายทักษิณมาโดยตลอด พร้อมระบุว่า คนที่ไม่เชื่อก็จะไม่เชื่อ วันนี้ต้องก้าวผ่านความอคติ ตนก็เปิดกว้าง และต้องทำงานสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ซึ่งหลังปีใหม่ก็จะมีงานสำคัญ เกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลที่จะถูกดำเนินการ รวมถึงเรื่องยาเสพติด