วันที่ 3 ต.ค.66 ที่ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสวัดหิรัญญาราม หรือวัดบางคลาน อ.โพทะเล จ.พิจิตร พร้อมด้วย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รรท. ผบก.ทล. พ.ต.อ.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ รรท.ผบก.ปปป. ตัวแทนเจ้าหน้าที่จาก ป.ป.ท. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ร่วมประชุมหารือแนวทางแก้ปัญหาข้อพิพาทวัดบางคลาน
พระครูพิสุทธิวรากร กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ไม่สามารถเข้าวัดได้ จึงจำเป็นต้องมาร้องขอความเป็นธรรมกับ บก.ปปป. ให้ช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งหลังจากนี้ได้มีการมอบอำนาจให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เข้าไปดูแลวัด เพื่อแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่วัด ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ตำรวจท้องที่ เข้าไปจัดการแต่ก็ยังไม่สามารถเข้าวัดได้ เมื่อจะเข้าไปที่วัดแต่ละครั้ง กลุ่มมวลชนที่ยึดวัดก็เหมือนจะรู้ตัวก่อน รีบมาปิดประตู จนเกิดการปะทะ ยิงหนังสะติ๊ก ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ จนไม่สามารถเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้ สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก
“ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ลงพื้นที่เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา นั้น ให้หลังไม่นานวัดก็ถูกกลุ่มมวลชนบุกรุกเข้าไปยึดครองเช่นเดิม ดังนั้นการให้ตำรวจ บก.ปปป. เข้ามาข่วยแก้ปัญหาในครั้งนี้จึงคาดหวังว่าจะสามารถจัดการได้ เพราะที่ผ่านมาเชื่อว่าเป็นเพราะเจ้าหน้าที่รัฐไม่จริงจัง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ไม่เต็มที่ จึงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ทั้งที่เป็นความผิดซึ่งหน้าก็ไม่มีการจับกุม”
พระครูพิสุทธิวรากร กล่าว
พระครูพิสุทธิวรากร กล่าวต่อว่า สำหรับผู้อยู่เบื้องหลัง เชื่อว่า คือ นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาขิกสุฒิสภา และ อีกหลายๆคน ซึ่งได้ให้ข้อมูลกับทางตำรวจ บก.ปปป. ไปหมดแล้ว ส่วนตัวเคยพูดคุยเจรจากันช่วงแรกที่เข้ามาดำรวตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่ต่อมามองว่าเจ้าตัวทำอะไรไม่จริงจัง ปล่อยปะละเลย จึงปลดออกจากคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของวัด
ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า วันนี้ได้ร่วมพูดคุยกับหลายๆส่วนเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งลากยาวนานมากว่า 7-8 ปี ทางหลวงพ่อเองท่านก็อยากจะจัดการปัญหาให้จบสิ้น ประกอบกับเห็นว่าทางตำรวจ บก.ปปป. เคยเข้าไปแก้ไขปัญหาที่วัดห้วยด้วน จ.นครสวรรค์ แล้วสามารถแก้ได้สำเร็จ จึงอยากให้ใช้โมเดลเดียวกัน โดยตั้งตำรวจ บก.ปปป. ตำรวจท้องที่ นายอำเภอ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. เข้ามาบริหารจัดการวัด แต่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ของวัด
“ซึ่งแนวทางมาตรการ จะเริ่มจากเบาไปหาหนัก โดยจะเปิดให้คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายเจรจาหาข้อสรุปกันก่อน ส่วนตัวอยากให้ทุกอย่างจบบนโต๊ะ แต่หากไม่สำเร็จก็คงต้องนำเอากฎหมายมาบังคับใช้ โดยจะให้หลวงพ่อถอยไป แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้บุกรุก เรื่องนี้ส่วนตัวไม่หนักใจ
เพราะหากแก้ไขปัญหาไม่สำเร็จ นั่นแสดงถึงความอ่อนแอของข้าราชการ หรือ เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ผ่านมามีหมายแต่ไม่สามารถทำอะไรเท่าที่ควรได้ ปัญหาจึงเรื้อรัง วันนี้เมื่อได้รับสิทธิ์มาแล้ว จึงจะต้องทำให้เกิดเป็นรูปธรรม แก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง จริงจัง หากมวลชนรายใดไม่เห็นด้วย ต่อต้านเจ้าหน้าที่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ต้องว่ากันที่กฎหมาย จับดำเนินคดีบังคับใช้อย่างเข้มงวด แต่ยืนยันว่าทางที่ดีที่สุดคือการเจรจา ดีกว่าการใช้กำลังไม่เกิดประโยชน์และดูไม่ดีต่อพระพุทธศาสนา”
รรท.ผบก.ทล. กล่าว
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณี สว.กิตติศักดิ์ มองว่า เป็นบุคคลคนหนึ่งตามรัฐธรรมนูญ อยู่ภายใต้กฎหมายต้องรับฟังเรา ถ้าไม่ให้เกียรติกันก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย ทุกคนอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ถึงแม้จะเป็น สว. แต่ถ้าขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มาตรการหนักสุดในการแก้ปัญหาดังกล่าวคือแนวทางใด พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า มาตรการหนักสุดคือการใช้กำลังคอมมานโด หน่วยปราบจราจล เข้าควบคุมสถานการณ์ แต่สุดท้ายยังยืนยันว่าอยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยการเจรจาจะเป็นผลดีที่สุด
ขณะที่ทาง นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ยืนยันว่าเจ้าอาวาสวัดปัจจุบันเองก็ได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้าน จ.พิจิตร เป็นอย่างมากเช่นกัน ไม่ใช่ว่ามีแต่คนไม่เห็นด้วย ซึ่งตนมีรายชื่อกลุ่มผู้สนับสนุนนี้เป็นหลักฐานยืนยัน ส่วนเรื่องการจะแจ้งเอาผิดเจ้าหน้าที่บังคับคดี ทางทนายความเจ้าอาวาสวัดจะเป็นผู้ดำเนินการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริง สุดท้ายอยากให้เรื่องนี้จบลงด้วยการเจรจา เชื่อว่าคนไทยด้วยกันพูดคุยกันรู้เรื่อง
ภาพ – ธนโชติ ธนวิกรานต์