ปฏิบัติการเข้าตรวจค้น บ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. เช้าวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา โดยตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ PCT และ หน่วยปฏิบัติการพิเศษหนุมาน กองปราบปราม พร้อมอาวุธครบมือ โดยเป้าหมายคือการควบคุมตัวทีมงานของบิ๊กโจ๊ก กลายเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายระบุว่าเกี่ยวโยงกับศึกการเลือกตั้ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่
ย้อนหลังก่อนปฏิบัติค้นบ้านบิ๊กโจ๊ก คดี “หน่อง ท่าผา” ลูกน้องคนสนิท นายประวีณ จันทร์คล้าย (กำนันนก) ใช้อาวุธปืนยิง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง เสียชีวิต นำไปสู่การปลิดชีพ ของ พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร. ได้แถลงว่า เป็นการสูญเสียตำรวจน้ำดีไป
คดีนี้ บิ๊กโจ๊ก กระโดดเข้าไปคลี่คลายคดี แต่ก่อนจะถึงวันที่ขยายผลแจ้งข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กับตำรวจที่ไปร่วมงานเพียงวันเดียว ก็มีคำสั่ง จาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้โอนคดีมายัง กองปรามปราม สังกัดกองบัญชาการสอบสวนกลาง
หลังถูกตรวจค้นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า ถูกพยายามดิสเครดิต พร้อมระบุว่าเป็นการเมืองภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพอรู้มาก่อนแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อถามว่าเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งผบ.ตร.หรือไม่ บิ๊กโจ๊กปฏิเสธที่จะตอบแต่ให้นักข่าวคิดว่าเองว่า ช่วงนี้มีวาระสำคัญอะไร
ขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึงกับออกปากเตือนนายกฯรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ให้ระวังการเลือกผบ.ตร.คนใหม่ ต้องศึกษาพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566 ให้ดี ที่การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องคำนึงถึงหลัก อาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวน หรือ งานป้องกันปราบปราม พร้อมยกตัวอย่างการแต่งตั้งข้ามลำดับอาวุโส ได้สร้างปัญหาให้วงการสีกากีอย่างมาก พร้อมยกตัวอย่าง พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ 1 ใน ก.ตร.ชุดปัจจุบัน ที่ต้องไปดำรงตำแหน่งเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทางพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ระบะว่าการข้ามอาวุโสทำให้เกิดการแย่งชิงตำแหน่งและสุดท้ายต้องไปพึงพิงฝ่ายการเมือง
มาครั้งนี้ ศึกชิงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดาวรุ่งที่ถูกจับตามอง คือพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อาวุโสลำดับ 4 และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อาวุโสลำดับ 2 แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ในช่วงเดือนที่ผ่านมาแล้วชื่อของ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ อาวุโส อันหนึ่ง1 ก็กลับมาพูดถึงอีกครั้ง ไม่แน่ว่า ระหว่างเสือ 2 ตัวฟาดฟันกัน ส้มจะหล่นไปที่ พล.ต.อ.รอย หรือไม่
เมื่อพิจารณาลำดับอาวุโส ลำดับ 1 พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ เหลือวาระดำรงตำแหน่งก่อนเกษียณอายุราชการ เพียง 1 ปี นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 24 นายร้อยตำรวจรุ่น 40 หน้าที่รับผิดชอบหลักในรับผิดชอบงานด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ ควบคู่กับการเป็นหัวหน้าศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.), ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมและความมั่นคง (ศตปค.ตร.), ศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) และ ศูนย์บังคับและต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) (ศบตอ.ตร.)ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร. นำทีมกวาดล้างอาชญากรรม เพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย ในช่วงเลือกตั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.2566 ที่ผ่านมา
อาวุโส ลำดับ 2 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.นักเรียนเตรียมทหาร (นตท.) รุ่นที่ 31 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่นที่ 47 เป็นประธานรุ่นนรต.47 รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานสืบสวนสอบสวน กำกับดูแลงานสืบสวนของ บก.สส. และงานสืบสวน ในภูธร 1-9 ด้วย รวมไปถึงกำกับดูแลงาน สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ, รพ.ตร. (เฉพาะ นต.)
นอกจากนี้ยังเป็นหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ (ศปน.ตร.), ศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.ตร.), ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว และปราบปรามการค้ามนุษย์ (ศพดส.ตร.)
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.และเป็นหัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ศปปง.ตร.), และศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) เติบโตในวายงงานบริหารตั้งแต่กำกับดูแล สกบ., สกพ., สทส., สงป., สง.ก.ตร., สง.ก.ต.ช., รพ.ตร. (ยกเว้น นต.), บช.ศ., รร.นรต., บช.น.(เฉพาะ ศฝร.บช.น.) ภ.1-9 (เฉพาะ ศฝร.ภ.1-19) บช.ก. (เฉพาะ ศฝร.) บช.ตชด. (เฉพาะ บก.กฝ.), สตม., (เฉพาะ ศฝร.ตม.) สยศ.ตร.(ยกเว้น ผอ.ผก.ผค.) บ.ตร., สท., สลก.ตร., วน. โรงพิมพ์ตำรวจ งานล่าสุดได้รับมอบหมายให้ตั้งคณะทำงานเพื่อทบทวนปรับปรุงแก้ไขระเบียบคำสั่งกฎ ก.ตร และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการรับบุคคลเข้ามาเป็นตำรวจสัญญาบัตร การบรรจุ แต่งตั้ง ครองยศ รวมถึงการเข้าเรียนหลักสูตร กอส. หลักสูตรการอบรมบุคคลภายใน (ข้าราชการตำรวจชั้นประทวน) เป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร (กอน.)
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร.เป็นสิงห์แดง รุ่นที่ 38 และปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีปทุม ทำงานเป็นพนักงานในบริษัทน้ำมันคาลเท็กซ์ อยู่ได้ 7 ปี จึงลาออกมาสมัครรับราชการตำรวจ โดยเข้าอบรมหลัก สูตรการฝึกอบรม ผู้มีคุณวุฒิทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เพื่อบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร (กอต.) รุ่นที่ 4 เป็นรอง ผบ.ตร.รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม เป็นหัวหน้าศูนย์ปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (ศปลป.ตร.), ศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม (ศปป.ตร.), ศูนย์ปราบปรามการลักลอบตัดไม้ ทำลายป่า ทรัพยากรธรรมชาติ (ศปทส.ตร.), ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ (ศปจร.ตร.), ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทาง (ศปข.ตร.) รวมทั้งงาน สอท. หรือ ตำรวจไซเบอร์ ซึ่งมีผลงานปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่อง
การแต่งตั้ง ผบ.ตร. เป็นครั้งแรกที่ดำเนินการภายใต้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฉบับใหม่ ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่มีสิทธิเสนอชื่อ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ แก่ ก.ตร. โดยเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. นอกจากนี้นับเป็นครั้งแรกเช่นกันที่มีการเลือกตั้ง คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ซึ่ง กตต.ได้จัดการเลือกตั้งไปเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2566
เปิดโครงสร้าง ก.ตร มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน, ผบ.ตร. รองประธาน, กรรมการประกอบด้วย เลขาธิการ ก.พ., เลขาธิการ ก.พ.ร., รอง ผบ.ตร. 5 คน (ตามลำดับอาวุโส), จเรตำรวจแห่งชาติ, ผู้ทรงคุณวุฒิประเภท ก. 3 คน และ ข. 3 คน โดยมี ผบช.สง.ก.ตร. เป็นเลขานุการ รองผบช.สง.ก.ตร. เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
สำหรับ ผู้ทรงคุณวุฒิ (ประเภท ก) คุณสมบัติ ต้องเคยเป็นข้าราชการตำรวจระดับ ผบช.ขึ้นไป และพ้นจากความเป็นข้าราชการตำรวจเกิน 1 ปี ประกอบด้วย 1.พลตำรวจเอก มนู เมฆหมอก 2. พลตำรวจเอก เอก อังสนานนท์ 3. พลตำรวจเอก วินัย ทองสอง และ ผู้ทรงคุณวุฒิ (ประเภท ข) บุคคลภายนอก ซึ่งไม่เคยเป็นข้าราชการตำรวจมาก่อน คุณสมบัติเบื้องต้น ต้องเป็นข้าราชการระดับ อธิบดี อธิบดีผู้พิพากษา อธิบดีอัยการ รองศาสตราจารย์ไม่น้อย 5 ปี สาขานิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ฯลฯ ได้แก่ 1 นายฉัตรชัย พรหมเลิศ 2.รองศาสตราจารย์ ประทิต สันติประภพ 3. ศาสตราจารย์ ศุภชัย ยาวะประภาษ
ซึ่งในวันที่ 27 กันยายน 2566 จะเป็นการตัดสินว่า ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ 14 ของประเทศไทยจะเป็นใคร