คัดลอก URL แล้ว

เพิกถอนสิทธิ์สมัครเลือกตั้ง “ช่อ พรรณิการ์” ตลอดไป

วันนี้ ( 20 ก.ย. 2566) ศาลฎีกา สนามหลวง นัดฟังคำพิพากษา ในคดีที่ ป.ป.ช. เป็นผู้ร้อง ยื่นขอให้วินิจฉัย กรณีกล่าวหา น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม โพสต์ข้อความพาดพิงสถาบันฯ โดยศาลได้มีคำพิพากษาว่า น.ส.พรรณิการ์ ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงตามกฎหมายจึงให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไป รวมถึงไม่มีสิทธิดํารงตําแหน่งทางการเมืองใดๆ ตามรัฐธรรมนูญ โดยมีรายละเอียดดังนี้

วันนี้ เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาอ่านคําพิพากษาคดีหมายเลขดําที่ คมจ.๑/๒๕๖๕ หมายเลขแดงที่ คมจ. ๕/๒๕๖๖ ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ ผู้ร้อง นางสาวพรรณิการ์ วานิช ผู้คัดค้าน โดยผู้ร้องยื่นคําร้องว่า ผู้คัดค้านโพสต์ภาพถ่ายและ ข้อความตามคําร้องข้อ ๔.๑ (๑) ถึง (๖) ในลักษณะเป็นการกระทําอันมิบังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ลงในเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ชื่อบัญชี “Pannika Chor Wanich” ของผู้คัดค้าน ต่อมาผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งให้ดํารงตําแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ภาพถ่ายและข้อความดังกล่าวยังคงปรากฏอยู่ในบัญชีการใช้งานเฟซบุ๊กของผู้คัดค้าน ในลักษณะเป็นสาธารณะ บุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปดูได้อย่างต่อเนื่อง โดยผู้คัดค้านมิได้กระทําการใด ๆ หรือลบภาพ และข้อความดังกล่าวออกจากบัญชีเฟซบุ๊กของผู้คัดค้าน เป็นการแสดงออกถึงการไม่เคารพและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการไม่ยึดมั่นและธํารงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข และเป็นการไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอให้พิพากษาว่า ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กับเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน มีกําหนดเวลาไม่เกินสิบปี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๓๕ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘๗ และมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของ ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อ ๕ ข้อ ๖ และข้อ ๒๗

ผู้คัดค้านยื่นคําคัดค้านว่า การกระทําของผู้คัดค้านเกิดขึ้นก่อนที่จะมีบทกฎหมายและมาตรฐานทาง จริยธรรม จึงไม่อาจใช้บังคับย้อนหลังเอากับผู้คัดค้านได้ และบทกฎหมายดังกล่าวมุ่งหมายใช้บังคับแก่บุคคลที่ยังดํารงตําแหน่งอยู่ในขณะถูกร้องและดําเนินคดี แต่ผู้คัดค้านพ้นจากตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ผู้ร้องจึง ไม่มีอํานาจไต่สวนและยื่นคําร้องต่อศาล ขณะผู้คัดค้านดํารงตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มิได้กระทําการใด อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ส่วนการที่ยังคงมีภาพถ่ายและข้อความตามคําร้องปรากฏอยู่ไม่ถือเป็นการกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ขอให้ยกคําร้อง

ศาลฎีกาพิพากษาว่า ผู้ร้องได้รับคําร้องของสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ฉบับลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ กล่าวหาว่าผู้คัดค้านขณะดํารงตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ ตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งขณะนั้นมีผลใช้บังคับแล้วไว้พิจารณา ซึ่งขณะนั้นผู้คัดค้านยังดํารง ตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แม้ต่อมาผู้คัดค้านพ้นจากตําแหน่งแล้ว ผู้ร้องยังคงมีอํานาจไต่สวนและยื่นคําร้อง คดีนี้ได้ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๓๔ (๑) มาตรา ๒๓๕ วรรคหนึ่ง (๑) และพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘๗ ประกอบมาตรา ๕๕ (๓) ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒ บัญญัติว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” มาตรา 5 บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพ สักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” และหมวด ๔ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย มาตรา ๕๐ บัญญัติว่า “บุคคลมีหน้าที่ดังต่อไปนี้ (๑) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข…” ผู้คัดค้านมีเชื้อชาติและสัญชาติไทย นอกจากมีหน้าที่ตามมาตรา ๕๐ (๑) อันเป็น หน้าที่ของปวงชนชาวไทยแล้ว ผู้คัดค้านในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังต้องยึดถือปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมเพื่อรักษาเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่งและความเชื่อถือศรัทธาของประชาชน ย่อมต้องระมัดระวังในการใช้สื่อสังคมออนไลน์มิให้มีภาพถ่ายหรือข้อความพาดพิงหรือแสดงออกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางที่ ไม่เหมาะสมหรือมิบังควร

เนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ เป็นมิ่งขวัญและศูนย์รวม ความสามัคคีของปวงชนชาวไทย โดยกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ว่า “ในหลวง” “พ่อหลวง” หรือ “พ่อของแผ่นดิน” เป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทย ปวงชนชาวไทยมีความรักและความภาคภูมิใจในองค์พระมหากษัตริย์และ เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดมา เมื่อพิจารณาการกระทําของผู้คัดค้านตามคําร้องซึ่งกระทําอย่างต่อเนื่องกันมาจึงต้องนําการกระทําของผู้คัดค้านทั้งหกกรณีมาพิเคราะห์ร่วมกันเพื่อหยั่งทราบเจตนาของผู้คัดค้านว่า มุ่งประสงค์อย่างไร

การกระทําของผู้คัดค้านตามคําร้อง ข้อ ๔.๑ (๑) ถึง ๔.๑ (๔) และ ๔.๑ (๖) ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าผู้คัดค้านมี เจตนาพาดพิงถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ ส่วนการกระทําตามคําร้อง ข้อ ๔.๑ (๕) เป็นการลงข้อความพาดพิงถึงสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ (พระนามในขณะนั้น) อันเป็นการแสดงออกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางที่ไม่เหมาะสม หรือมิบังควรอย่างยิ่ง เป็นการไม่เคารพในหน้าที่ของปวงชนชาวไทยที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้คัดค้านที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ ก่อนดํารงตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเมื่อผู้คัดค้านดํารงตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอยู่ภายใต้ บังคับมาตรฐานทางจริยธรรมฯ หมวด ๑ มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นอุดมการณ์ ข้อ 5 ที่กําหนดให้ผู้คัดค้านต้อง พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

นอกจากการกระทําโดยตรงแล้วยังหมายรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทําเพื่อป้องกัน ผลนั้นด้วย เมื่อผู้คัดค้านยังคงปล่อยให้ภาพถ่ายและข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์บัญชีการใช้งานเฟซบุ๊กของผู้คัดค้านในลักษณะเป็นสาธารณะบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ พฤติการณ์ของผู้คัดค้านเป็นการแสดงออกถึงการไม่เคารพและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๖ มาตรา ๕๐ (๑) และมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 5 การที่ผู้คัดค้านไม่ลบหรือนําภาพถ่ายและข้อความ ดังกล่าวทั้งหมดออกจากระบบคอมพิวเตอร์ทั้งที่สามารถกระทําได้เพื่อไม่ให้ปรากฏอยู่และเพื่อไม่ให้บุคคลใดสามารถเข้าถึงภาพถ่ายและข้อความทั้งหกกรณีดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการงดเว้นการที่จักต้องกระทําเพื่อป้องกันผลนั้นด้วยการกระทําของผู้คัดค้านจึงเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๓๕ ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘๗ และมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 5 ประกอบ ข้อ ๒๗ วรรคหนึ่ง ให้เพิกถอนสิทธิ สมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไป รวมถึงไม่มีสิทธิดํารงตําแหน่งทางการเมืองใดๆ ตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๓๕ วรรคสามและวรรคสี่ แต่ยังฟังไม่ได้ว่า เป็นการไม่ยึดมั่นและธํารงไว้ซึ่งการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ ๕ จึงยังไม่เห็นสมควรเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้าน

สำหรับในคดีนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2562 นายศรีสุวรรณ จรรยา ได้ยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบ น.ส.พรรณิการ์ จากกรณีที่ น.ส.พรรณิการ์ได้โพสต์ข้อความและภาพลงในเฟชบุ๊กส่วนตัวจำนวนมาก ที่ทำให้ประชาชนเข้าใจไปในทางที่อาจจะเชื่อมโยงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมิบังควร และเป็นการกระทำที่ส่อไปในทางที่จะขัดมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ซึ่งในเวลาต่อมา คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ชี้มูล น.ส.พรรณิการ์ ว่า ผิดจริยธรรมร้ายแรง ตามมาตรฐานจริยธรรม


ข่าวที่เกี่ยวข้อง