คัดลอก URL แล้ว
เอเวอร์แกรนด์ ยักษ์ใหญ่อสังหาฯ จีน ในสหรัฐฯ ยื่นล้มละลาย

เอเวอร์แกรนด์ ยักษ์ใหญ่อสังหาฯ จีน ในสหรัฐฯ ยื่นล้มละลาย

ท่ามกลางวิกฤติอสังหาฯ ในประเทศจีนที่กำลังรุนแรงขึ้น ส่งผลให้บริษัทเอเวอร์แกรนด์ของจีน ยักษใหญ่ด้านอสังหาฯ อันดับ 2 ของจีน ได้ยื่นขอคุ้มครองล้มละลายต่อศาลนิวยอร์กแล้ว เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินของบริษัทในสหรัฐฯ ระหว่างการเจรจาปัญหาหนี้ที่เกิดขึ้น

โดยในปัจจุบันมีการประมาณการว่า บริษัทเอเวอร์แกรนด์ มีหนี้สะสมมากถึง 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 11 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 2% ของจีดีพีประเทศจีน ซึ่งบริษัทได้ผิดนัดชำระหนี้มาตั้งแต่ปี 2021 และพยายามเดินหน้าเจรจาข้อตกลงหนี้ และผู้ปล่อยสินเชื่อมาโดยตลอด

ซึ่งปัญหาของบริษัทเอเวอร์แกรนด์ในช่วงที่ผ่านมานั้น ถือเป็นหนึ่งในบริษัที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการกู้เงินจำนวนมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก่อนที่รัฐบาลจีนจะมีการกำหนดควบคุมปริมาณหนี้ของบริษัทด้านอสังหาฯ ขนาดใหญ่ ส่งผลให้บริษัทจำเป็นต้องขายอสังหาฯ ในโครงการต่าง ๆ ออกไปด้วยราคาต่ำ เพื่อพยุงธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้

โดยเอเวอร์แกรนด์นั้นเป็นเจ้าของโครงการต่าง ๆ มากกว่า 1,300 แห่งในประเทศจีน ยังไม่นับธุรกิจอื่น ๆ นอกเหนือจากอสังหาฯ

แต่ด้วยมูลหนี้ที่มีจำนวนมาก และดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นส่งผลให้มูลค่าหุ้นของบริษัทตกลงเรื่อย ๆ จนต่ำกว่า 80% กระทบความน่าเชื่อถือส่งผลให้หนี้สิ้น ในขณะที่รัฐบาลจีน ปฏิเสธให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้บริษัทต้องเผยิญวิกฤติอย่างเลี่ยงไม่ได้

หวั่นกระทบเศรษฐกิจหลายประเทศ

ผลกระทบที่เกิดขึ้นในระลอกแรกเกิดขึ้นกับผู้ซื้ออสังหาฯ ของบริษัทโดยตรง ตามมาด้วยคู่สัญญาที่รับงานของบริษัท และลุกลามเป็นวิกฤติต่อในประเทศจีน ในขณะที่การยื่นล้มละลายในครั้งนี้ อาจจะส่งผลกระทบในวงกกว้างมากขึ้น เนื่องจากมูลหนี้กว่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ นี้ เป็นมูลหนี้ที่เกิดขึ้นกับธนาคารในประเทศต่าง ๆ กว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงสถาบันการเงินอื่น ๆ อีกกว่า 100 แห่ง

ส่งผลให้ธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่งเผชิญสภาวะสินเชื่อตึงตัว (Credit Crunch) ผลกระทบจากสภาวะดังกล่าว ก็จะทำให้ธนาคารและสถาบันการเงินปล่อยเงินกู้ยากขึ้น โดยเฉพาะสินทรัพย์ในจีน

โดยธนาคารกลางของสหรัฐฯ เคยออกมาเตือนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเอเวอร์แกรนด์ก่อนหน้านี้ ว่า ปัญหาของธุรกิจอสังหาฯ ในประเทศจีนจะส่งผลกระทบทำให้ตลาดการเงินของโลกอยู่ในภาวะตึงตัวมากขึ้น และกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก