คัดลอก URL แล้ว
‘เศรษฐา’ ส่งทนายฟ้องหมิ่นประมาท ‘ชูวิทย์’ 500 ล้าน

‘เศรษฐา’ ส่งทนายฟ้องหมิ่นประมาท ‘ชูวิทย์’ 500 ล้าน

วันนี้ ( 7 สิงหาคม 2566 ) เวลา 10.00 น. ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความที่ได้รับมอบหมายจาก นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ให้เดินทางมายื่นฟ้องดำเนินดดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา เรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท ต่อ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ภายหลังมีการกล่าวหาว่า นายเศรษฐา ว่ามีการทำนิติกรรมอำพราง หลีกเลี่ยงภาษี 521 ล้านบาท

ทนายวิญญัติ กล่าวว่า วันนี้ ตนในฐานะทนายความ ได้รับมอบหมายจาก นายเศรษฐา นักธุรกิจที่มีชื่อเสียง และเป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่ประชาชนรับทราบกันอยู่แล้ว โดยนายเศรษฐา ได้ติดต่อตนวันที่ 4 ส.ค. ปรึกษาทีมกฎหมาย ว่าจะใช้สิทธิ์ปกป้องตนเอง

โดยการมาวันนี้ไม่มีเจตนากลั่นแกล้งคนป่วย หรือเจตนาซ้ำเติมคนที่บอกว่าจะอยู่ได้ไม่นาน หรือใกล้ตาย ตนขอให้กำลังใจ นายชูวิทย์ ต่อสู้กับโรคที่เป็นอยู่แต่หากการกระทำของนายชูวิทย์เข้าข่ายผิด กฎหมาย ในฐานะคนที่ถูกใส่ความ หรือใส่ร้าย ก็ต้องดำเนินคดี ทั้งนี้ การฟ้องสืบเนื่องจาก นายชูวิทย์ แถลงข่าวกล่าวถ้อยคำชัดเจนในข้อเท็จจริง ใส่ความว่า นายเศรษฐา สมคบคิดร่วมกับผู้ขาย และเลี่ยงภาษี ทำให้รัฐเสียรายได้ 500 ล้านบาท

นายชูวิทย์ อาจบอกว่าเป็นการตรวจสอบใช้สิทธ์ประชาชนตามรัฐธรมนูญ แต่อย่าลืมต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย การแถลงข่าววันนั้น มีการใช้สื่อประกอบ มีบุคคลที่ 3 จำนวนมาก มีคนถูกพาดพิงหลายคน และนายชูวิทย์ ยืนยันว่า นายเศรษฐา รับรู้ สมรู้ ร่วมวางแผน จึงต้องฟ้องวันนี้ ในสาระสำคัญว่า นายชูวิทย์ กล่าวข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน จงใจปกปิด และให้คนเข้าใจผิดหรือไม่ เป็นข้อกล่าวหาที่นำมาฟ้อง โดยนายชูวิทย์ เจตนาใส่ความ นายเศรษฐา ชัดเจน

ข้อเท็จจริงที่ตนทราบ และแสนสิริ เคยชี้แจงว่า การได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์รวม ไม่ใช่การได้ที่ดินมาพร้อมกันอย่างที่ นายชูวิทย์ แถลง แต่เป็นการได้มาโดยไม่พร้อมกัน ตามคำสั่งกรมสรรพากร ป.100/2543 พูดถึงเรื่องบุคคลที่ได้กรรมสิทธิ์มาโดยการขาย ต้องเสียภาษีในหน่วยภาษีที่เรียกว่าคณะบุคคล ไม่ใช่นิติบุคคล โดยกรณีบริษัทแสนสิริ เข้าข้อยกเว้น คือกรรมสิทธ์รวมของผู้ถือหุ้น ได้มาไม่พร้อมกัน ต้องดูหน่วยเสียภาษีอย่างบุคคลธรรมดา แยกชำระกันแต่ละคน

โครงสร้างนี้ คนมีหน้าที่เสียภาษีคือผู้ขาย ตกลงตามเอกเทศน์สัญญา คนซื้อ คนขาย ตกลงกันยังไงก็ได้ โดยการโอนต้องโอนต่างวัน เสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา ไม่ใช่นิติบุคคลตามที่กล่าวอ้างส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเส้นบางๆ ระหว่างจริยธรรม หรือวางแผนมา เรื่องนี้เป็นการวางแผนภาษี ไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย ไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิด ให้รัฐเสียผลประโยชน์ เพราะรัฐดำเนินการเอง พวกนี้เป็นข้องดเว้นหมด เป็นข้อเท็จจริงที่อยากนำเรียน ที่ นายชูวิทย์ บอกคือจริยธรรม ฝ่าฝืนร้ายแรง เรื่องนี้เป็นนามธรรม เอาอะไรมาบอกว่าฝ่าฝืน

ขณะเดียวกัน นายวิญญัติ ได้โชว์ชาร์จที่เตรียมมา เปรียบเทียบระหว่าง นายชูวิทย์ และนายเศรษฐา ในเรื่องจริยธรรมของทั้งสองคน พร้อมกล่าวว่า การที่จะไป ปปช. วันนี้ ถ้ากล่าวหาแล้วไม่เป็นความจริง โดนฟ้องกลับ และทำให้เจ้าหน้าที่กรมที่ดินเสียกำลังใจ เขาเคยหารือกันชัดเจนแล้ว กรมที่ดินไม่ทำอะไรเลื่อนลอย เรื่องนี้เป็นการซื้อขายทรัพย์ที่มีราคาสูง เรื่องนี้แสนสิริทำถูกต้อง อย่านำประเด็นนี้ไปขยาย หรือเผยแพร่ให้เกิดการเสียหาย ถ้านำไปทำจะฟ้องแน่นอน

ทั้งนี้ ตนทราบว่าบริษัทสมบัติเติมตระกูล ของลูกชายนายชูวิทย์ ที่ประกอบธุรกิจประเภทโรงแรม รีสอร์ท ห้องชุด ขอให้นายชูวิทย์ คอยระวัง และตรวจสอบเรื่องนี้ดีๆ เขากำลังจับตาดูอยู่ คอยระวังไว้ โดยในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง มีพยานบุคคล 7-8 ปาก แต่ยังไม่แน่ใจว่า นายเศรษฐา จะมาด้วยตัวเองหรือไม่


ภาพ – วิชาญ โพธิ


ข่าวที่เกี่ยวข้อง