คัดลอก URL แล้ว
ผู้บัญชาการทหารเรือ สั่งตั้งกรรมการสอบสวนกรณีกระสุนหายจากคลัง ย้ำลงโทษให้ถึงที่สุด

ผู้บัญชาการทหารเรือ สั่งตั้งกรรมการสอบสวนกรณีกระสุนหายจากคลัง ย้ำลงโทษให้ถึงที่สุด

วันนี้ (15 กรกฎาคม 2565) เวลา 15.00 น. พลเรือเอกปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงข่าวกรณี เพจ CSI LA ได้เปิดเผยเอกสารกองทัพเรือหลุด โดยระบุว่า กระสุนปืนกลแบบ M855 และ M856 หายนับหมื่นนัด และกระสุนหัวระเบิดแบบ 40 mm นับพันหาย จาก คลังสรรพาวุธของนาวิกโยธิน สัตหีบ นั้น

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 โดยกองทัพเรือได้รับรายงานจาก หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ว่า กรมสรรพาวุธทหารเรือ ได้ทำการตรวจคลังอมภัณฑ์ กรม กรมทหารราบที่ 1 กองพลนาวิกโยธิน ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอสัตหีบจังหวัดชลบุรี ตามวงรอบประจำปี พบว่ามีอมภัณฑ์ยอดขาดจากบัญชีจำนวนหนึ่ง ซึ่ง ขณะนี้กำลังดำเนินการตรวจสอบจำนวนอมภัณฑ์ที่ขาดไปโดยละเอียด ซึ่งเมื่อทางหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน รับทราบ จึงได้ทำการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดและสอบถามยามรักษาการณ์ พบว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่คลังสรรพาวุธฯ ของหน่วย ลักลอบเปิดคลังหลายครั้ง และมีการนำเอาอมภัณฑ์ออกไปโดยใช้กุญแจที่ลักลอบทำสำรองไว้ ซึ่งขณะนี้เจ้าตัวได้ขาดราชการและไม่สามารถติดต่อได้ตั้งแต่ 6 กรกฎาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน โดยจากการสอบคำให้การของยามรักษาการณ์เข้าใจว่าเป็นการดำเนินการตามหน้าที่ปกติและไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำดังกล่าวแต่อย่างใด และทางหน่วยได้ให้นายทหารพระธรรมนูญของหน่วย แจ้งความลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานไว้ที่ สภ.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อ 7 กรกฎาคม 2566 และอยู่ระหว่างเพิ่มเติมพยานหลักฐาน ดำเนินการตามกฎหมาย รวมทั้งร่วมกันสืบสวนเพื่อติดตามผู้ต้องสงสัยและอมภัณฑ์ที่สูญหาย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพลเรือเอกเชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งตั้งกรรมการเอาผิดกรณีอมภัณฑ์หายออกจากคลังอาวุธ โดยเน้นย้ำให้มีการลงโทษให้ถึงที่สุดได้โดยขณะนี้ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง รวมถึงการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางละเมิดเพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษต่อไป

โฆษกกองทัพเรือได้กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีที่มีเพจบางเพจตั้งคำถามว่า ทำไมกระสุนจำนวนถึงมาหายช่วงนี้ ในช่วงที่กำลังมีสงครามในประเทศเพื่อนบ้าน และ เป็นช่วงประชาชนกำลังไม่พอใจกับผลการโหวตเลือกนายกของ สว. ขอชี้แจงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด โดยขอให้ระมัดระวังในการนำเสนอ ซึ่งอาจกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรวมถึงสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนทั่วไปอีกด้วย


ข่าวที่เกี่ยวข้อง