คัดลอก URL แล้ว
‘ธาริต’ แฉสลายชุมนุมปี 53 บิ๊กทหารขู่ห้ามดำเนินคดี 99 ศพ ไม่ฟังจะปฏิวัติ

‘ธาริต’ แฉสลายชุมนุมปี 53 บิ๊กทหารขู่ห้ามดำเนินคดี 99 ศพ ไม่ฟังจะปฏิวัติ

วันนี้ (8 ก.ค.66) ที่โรงแรมมิราเคิล นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงเปิดเบื้องหลัง การดำเนินคดีเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 โดย นายธาริต ได้แถลงข่าวประเด็นต่าง ๆ โดยระบุว่า ประเด็นที่ 1 สืบเนื่องจากเหตุการณ์ชุมนุมของ นปช. เมื่อช่วงเมษายน – พฤษภาคม 2553 ศูนย์ ศอฉ. โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ออกคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธปืนสงครามเอ็ม 16 เข้าสลายการชุมนุม ซึ่งถือว่าเป็นคำสั่งให้ทำร้ายประชาชน ทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 2,000 คน และเสียชีวิต 99 ศพ

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งมีตน เป็นอธิบดีในขณะนั้น จำเป็นต้องทำหน้าที่เพื่อรักษาความยุติธรรม ด้วยการดำเนินคดีต่อผู้ออกคำสั่งให้ทำร้ายประชาชน ในข้อหาตามมาตรา ป.อาญา มาตรา 288 – 289

นายธาริต กล่าวต่อว่า จากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ต้องหาในคดี คือ นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ยื่นฟ้องพนักงานสอบสวนในคดี ตามมาตรา 157 มาตรา 200 โดยกล่าวหาว่าพนักงานสอบสวนกลั่นแกล้งพวกตนให้ถูกดำเนินคดี เพื่อรักษาความยุติธรรม ทั้งต่อพนักงานสอบสวน รวมถึงผู้เสียชีวิต 99 ศพ และผู้บาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน ตนเห็นว่า หากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ทำหน้าที่ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดแล้วถูกฟ้องกลับและถูกดำเนินคดีตาม ป.อาญา มาตรา 157 มาตรา 200 อาจก่อให้เกิดลัทธิเอาอย่างด้วยการใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย มาตรา 157 มาตรา 200

ฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะกลายเป็นแบบอย่างที่กระทำความผิดแล้วไม่ต้องรับผิด เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐกลัวที่อาจจะต้องได้รับโทษอาญาเสียเอง ตนจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ป.อาญา มาตรา 157 และมาตรา 200 นั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยยื่นคำร้องผ่านศาลฎีกา ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ศาลยุติธรรมจะต้องส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งหมายความว่าศาลอาญาและศาลฎีกาจะวินิจฉัยเสียเองไม่ได้

นายธาริต กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2 ตามที่มีข่าวเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า นายธาริต ได้เลื่อนการฟังคำพิพากษาศาลฎีกาหลายๆ ครั้ง โดยอาจเป็นการหลบเลี่ยงอย่างน่าสงสัยนั้น ขอชี้แจงว่า มีการขอศาลอาญาเลื่อนคดีหลายๆ ครั้งจริง แต่มีสาเหตุมาจากเหตุสำคัญถึง 4 ประการ ได้แก่

ซึ่งเหตุจำเป็นทั้ง 4 ประการดังกล่าว ศาลอาญาต้องเลื่อนการอ่านคำพิพากษาเพราะต้องส่งให้ศาลฎีกาเป็นผู้สั่งคำร้อง ด้วยเหตุคดีอยู่ในอำนาจของศาลฎีกานั้นเอง การเลื่อนอ่าน คำพิพากษาคดีนี้หลายๆ ครั้ง จึงมีเหตุสำคัญและจำเป็นทั้ง 4 ประการ ดังกล่าว ซึ่งเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่ได้เกิดจากความผิดของนายธาริต ที่จะหลบเลี่ยงไม่ฟังคำพิพากษา

ประเด็นที่ 3 ตนและญาติผู้ตายจำนวนมาก มีความกังวลและไม่สบายใจต่อคำพิพากษาศาลฎีกาที่จะได้มีการอ่านโดยศาลชั้นต้น (ศาลอาญา) จึงมีการร้องขอโดยญาติผู้ตาย เข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามจำนวนมากหลายราย ตนก็ได้ร้องขอให้ศาลฎีกาส่งคดีไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามาตรา 157 มาตรา 200 แห่ง ป.อาญา ที่จะใช้บังคับคดีนั้น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ขณะนี้คำร้องต่างๆ ที่กล่าวมายังไม่ทราบผลว่าศาลฎีกาได้สั่งคำร้องอย่างไร โดยเฉพาะได้สั่งให้ส่ง มาตรา 157 และมาตรา 200 ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหรือไม่

ประเด็นที่ 4 ข้อกังวลและไม่สบายใจของตน และญาติผู้ตายเป็นอย่างยิ่งคือ ด้วยความเคารพต่อศาลฎีกา แม้ว่าศาลอาญาซึ่งเป็นศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องตน กับพวก เพราะเหตุว่าได้กระทำการตามหน้าที่และผู้ตายทั้ง 99 ศพ นั้น เพราะเกิดเหตุร้ายแรงจากการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมและผู้ตายดังกล่าว

การสั่งให้ระงับเหตุของนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จึงเป็นกรณีสมควรแก่เหตุแล้ว ผลก็จะเปรียบเสมือนการ “รับรองยืนยันหรือการันตี” ให้นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ และผู้เกี่ยวข้องในเหตุร้ายแรงนี้เป็นผู้บริสุทธิ์ เกิดเป็นบรรทัดฐานแบบอย่าง ในขณะที่ผู้ตายทั้ง 99 ศพ พร้อมครอบครัว และผู้บาดเจ็บอีก 2,000 กว่าคนจะเป็นอันสิ้นสุดที่จะได้รับความยุติธรรมและการเยียวยาในความเสียหายทันที

และเป็นการโยนตราบาปให้กับผู้ตาย 99 ศพ ว่าเป็นผู้ผิดที่สมควรตาย นานาประเทศจะเกิดข้อสงสัยในกระบวนการยุติธรรมของไทยเป็นอย่างยิ่ง อาจเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงทำนองนี้ได้อีกในประเทศไทย เพราะได้แบบอย่างว่าทำแล้วไม่ต้องรับผิดและเจ้าหน้าที่รัฐทั้งดีเอสไอและหน่วยงานอื่น ๆ จะไม่กล้าดำเนินคดีเพราะอาจต้องติดคุกเสียเอง คำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งถือเป็นบรรทัดฐานในคดีนี้ จึงสำคัญอย่างที่สุด

โดยในช่วงแรกของการมีการดำเนินคดี ต้องเรียนเพื่อให้เข้าใจ จะมีการพูดเสมอว่า แกนนำนปช. ถูกดำเนินคดี แล้วทำไม อภิสิทธิ์ – สุเทพ หรือทหาร ต้องถูกดำเนินคดีอีก เพราะถูกบิดเบือนว่า นปช.ร้าย เป็นคนผิด สมควรตาย คนสั่งยิงไม่สมควรต้องรับผิด ตรรกะนี้ไม่ใช่ นปช. ลุงป้าที่เขาไปชุมนุม เขาไม่ได้ผิด แกนนำ ถูกดำเนินคดีกล่าวหาว่าผิด ก็ดำเนินคดีไป ภาษาดีเอสไอเรียกว่า ล้ำเส้นเข้าไปใน เรดโซน ผิดกฎหมาย ขณะที่ ศอฉ.ก็เข้าไปในเรดโซน คือใช้คำสั่งให้ทหารเอา เอ็ม 16 เข้าไปในพื้นที่ ก็ทราบดีว่า 99 ศพ และผู้บาดเจ็บ 2,000 กว่าคน

“ผมถูกเรียกเข้าไปในค่ายทหารแห่งหนึ่งในถนนราชดำเนิน คนที่เรียกผมเข้าไป อาจไม่ควรต้องถูกเปิดเผยชื่อ แต่เป็นทหารชั้นผู้ใหญ่มาก และเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ และว่า ธาริต อย่าดำเนินคดีเรื่อง 99 ศพ ถ้าไม่ฟังกัน พวกอั้วปฏิวัติ ผมจะทำอย่างไร ในเมื่อศาลได้ชี้มาว่าการตาย มันเกิดจากทหารใช้อาวุธสงคราม มีการสั่งการต่าง ๆ ถ้าผมไม่ทำ คนอื่นก็ต้องทำ เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่ได้ทำคนเดียว ทำกับคณะกรรมการไต่สวน”

“ผมถือว่าเป็นการขู่ ครั้งนั้น เขาบอกว่า พวกอั้วปฏิวัติ และ ลื้อจะโดนย้ายคนแรก 9 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการพูดความจริงชัดเจนว่า ปฏิวัติ เพราะอะไร พูดเรื่องจำนำข้าวบ้าง จริงหรือเปล่า พูดเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยบ้าง จริงหรือเปล่า มีกปปส.เข้ามา ถูกดำเนินคดี แล้วยังไง”

“แต่ที่แน่ ๆ ปฏิวัติ ยังไม่ครบ 24 ชั่วโมง คนที่ถูกย้ายทันที คือนายธาริต และ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อดีตอัยการสูงสุด ผู้รับผิดชอบดำเนินคดี 99 ศพ เป็นความเชื่อของผม ภายใต้ข้อเท็จจริงที่สัมผัส ในฐานะข้าราชการมืออาชีพ ที่ทำงานด้านนี้ ว่านี่คือเหตุสำคัญของการปฏิวัติ”

ต่อจากนั้น นายธาริต กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามขอเรียกร้องให้นายกคนใหม่ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการอิสระ ซึ่งผมขอใช้คำว่า senior Super board เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดดึงความยุติธรรมให้ 99 ศพ ตนพร้อมไปศาลในวันจันทร์นี้ และพร้อมติดคุก

“ผมตั้งใจมาหลายจังหวะ แต่สถานการณ์บ้านเมืองไม่ให้ เรื่องนี้ผูกพันกับสภาพบ้านเมืองที่ไม่ปกติ หลังปฏิวัติมา 9 ปี เรากำลังเปลี่ยนประมุขฝ่ายนิติบัญญติ ที่มาจากประชาธิปไตย กำลังจะได้นายกฯที่มาจากประชาธิปไตยจริงๆ เป็นสถานการณ์ที่เลือกว่าดีที่สุดแล้ว และผมเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง ผมจะหมดอิสรภาพ และไม่มีโอกาส ผมก็ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมครั้งสุดท้าย จะได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร ถ้าต้องติดคุกครั้งนี้ เหมือนติดคุกโรงพักร้าง อาจจะคุ้มกว่า เพราะการตายของ 99 ศพ กับบาดเจ็บ 2,000 จะไม่ถูกละเลยแน่นอน”


ข่าวที่เกี่ยวข้อง