วันที่ 30 มิ.ย.66 ที่กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.โดยมีคณะทำงานร่วมกันได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล, กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4, กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ,ตำรวจสอบสวนกลาง(CIB) และ รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปะศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมแถลงปิดคดีนางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ แอม ไซยาไนด์ ผู้ต้องหาวางยาฆ่าเจ้าหนี้ 15 คดี ในพื้นที่ 8 จังหวัด โดยคดีแรกเกิดในปี 2558 ต่อเนื่องปี 2566 มีผู้เสียชีวิต 14 ราย รอดชีวิต 1 ราย
ไทม์ไลน์ที่ก่อเหตุกับเหยื่อทั้ง 15 ราย (ปี 2558-2566)
- 1.น.ส.มณฑาทิพย์ (ทราย) อายุ 47 ปี : เดินทางกลับจากต่างประเทศในวันที่ 5 ก.ค.58 โดยแอม เดินทางไปรับและพาไปทานอาหาร และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 ก.ค.58 (แรงจูงใจก่อเหตุ : ล้างหนี้ , เอาทรัพย์สินผู้ตาย)
- 2.น.ส.นิตยา (นิด) อายุ 36 ปี : เล่นวงแชร์เดียวกับแอม โดยวันที่ 22 ส.ค.63 แอมได้พาผู้ตายไปจำนำรถ หลังเสร็จธุระได้พาไปทานข้าว และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 ส.ค.63 (แรงจูงใจก่อเหตุ : เอาเงินที่ผู้ตายเอารถไปจำนำ)
- 3.น.ส.สาวิตรี (หน้า) อายุ 40 ปี : เล่นวงแชร์เดียวกับแอม โดยวันที่ 22 พ.ย.63 แอมส่งยาลดน้ำหนักให้ผู้ตายครั้งแรก ต่อมาวันที่ 25 พ.ย.63 ส่งยาลดน้ำหนักให้ครั้งที่ 2 และช่วงค่ำผู้ตายเสียชีวิต (แรงจูงใจก่อเหตุ : ล้างหนี้)
- 4.น.ส.ดาริณี (ฟ้า) อายุ 34 ปี : เล่นวงแชร์เดียวกับแอม โดยวันที่ 12 ธ.ค.63 แอมนัดผู้ตายไปตลาดสามพราน วันที่ 13 ธ.ค.63 แอมพาผู้ตายไปทานข้าวที่ตลาดสามพราน ก่อนที่จะพาไปส่งบ้านและเสียชีวิตในเวลาต่อมา (แรงจูงใจก่อเหตุ : ล้างหนี้)
- 5.นายสุรัตน์ (บี) อายุ 35 ปี : แอมกู้ยืมเงินจากผู้ตาย 2 ครั้ง เป็นเงินรวม 6 หมื่นบาท โดยวันที่ 6 ม.ค.64 ช่วงเช้าแอมมารับผู้ตายไปดื่มกาแฟ พาผู้ตายไปส่งบ้านพัก กระทั่งช่วงเย็นพบศพผู้ตายเสียชีวิต (แรงจูงใจก่อเหตุ : ล้างหนี้)
- 6.ร.ต.อ.หญิงกานดา (ผู้กองนุ้ย) อายุ 36 ปี : เล่นวงแชร์เดียวกับแอม และกู้ยืมเงินผู้ตายหลายครั้ง เสียชีวิตวันที่ 9 ส.ค.65 หลังจากไปดูดวงกับแอม และขับรถไปส่งแอม หลังออกจากบ้านพักแอมได้ 5 นาที ผู้ตายได้เสียชีวิตภายในรถยนต์ (แรงจูงใจก่อเหตุ : ล้างหนี้)
- 7.น.ส.รจรินทร์ หรือ เจ๊น้อยผัก อายุ 39 ปี : เล่นวงแชร์เดียวกับแอม และกู้ยืมเงินผู้ตายหลายครั้ง โดยเมื่อวันที่ 10 ส.ค.65 แอบขับรถไปหาผู้ตายและนำสลัดไปให้ผู้ตายทาน หลังทานเสร็จหมดสติและเสียชีวิต (แรงจูงใจก่อเหตุ : ล้างหนี้)
- 8.นางจันทร์รัตน์ (จุ๋ม) อายุ 43 ปี : แอมชวนผู้ตายลงทุนธุรกิจปล่อยเงินกู้ โดยวันที่ 15 ส.ค.65 แอมนำยาแก้อาการลองโควิดแก่ผู้ตาย และเสียชีวิตในบ้านพัก (แรงจูงใจก่อเหตุ : ล้างหนี้)
- 9.นางมณีรัตน์ (ครูต่าย) อายุ 52 ปี : แอมชวนผู้ตายลงทุนธุรกิจปล่อยเงินกู้ โดยวันที่ 10 ก.ย.65 แอมนัดผู้ตายมาพบที่ตลาด และส่งน้ำให้ดื่ม 15 นาทีหลังดื่มน้ำผู้ตายหมดสติและเสียชีวิต (แรงจูงใจก่อเหตุ : ล้างหนี้)
- 10.น.ส.กะณิกา (เอ๊ะ) อายุ 44 ปี : ให้ผู้ตายช่วยไถ่ทองที่จำนำไว้ และมีการยืมเงินผู้ตาย 1 ครั้ง โดยวันที่ 11 ก.ย. แอมนัดผู้ตายไปไถ่ทอง และลวงว่าจะไปขายทองที่ จ.ราชบุรี ก่อนลอบวางยาผู้ตาย และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลวันที่ 12 ก.ย.65 (แรงจูงใจก่อเหตุ : ล้างหนี้)
- 11.นางกานติมา (ปลา) อายุ 37 ปี (รอดชีวิต) : เล่นวงแชร์เดียวกับแอม และกู้ยืมเงินผู้ตายหลายครั้ง โดยวันที่ 23 ก.ย.65 แอมนัดเหยื่อมาเจอที่ห้างฯ และมอบยาแคปซูล-น้ำส้ม หลังเหยื่อกินเสร็จมีอาการแน่นหน้าอก และเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล (แรงจูงใจก่อเหตุ : ล้างหนี้)
- 12.น.ส.ผุสดี (ครูอ๊อด) อายุ 39 ปี : เล่นวงแชร์เดียวกับแอม ร่วมลงทุนทำธุรกรรมทางการเงินหลายครั้ง โดยวันที่ 19 พ.ย.65 นัดผู้ตายมาพบอ้างว่าจะมีของมอบให้ และถูกวางยา ต่อมาวันที่ 20 พ.ย.65 ผู้ตายเสียชีวิต (แรงจูงใจก่อเหตุ : ล้างหนี้)
- 13.นายสุทธิศักดิ์ (แด้) อายุ 35 ปี : คบหากับแอม ทำธุรกิจร่วมกัน และแอมติดเงินอยู่บางส่วน โดยวันที่ 12 มี.ค.66 แอมไปทำบุญกับผู้ตาย และมอบยาให้กิน และเสียชีวิตในห้องพัก (แรงจูงใจก่อเหตุ : ล้างหนี้ , เอาทรัพย์สินผู้ตาย)
- 14.พ.ต.ต.หญิงนิภา (สารวัตรปู) อายุ 38 ปี : เล่นวงแชร์เดียวกับแอม และกู้ยืมเงินผู้ตาย ผู้ตายให้แอมช่วยวิ่งเต้นโยกย้ายตำแหน่ง โดยวันที่ 1 เม.ย.66 ผู้ตายไปหาแอมเพื่อนำเงินค่าวิ่งเต้นไปให้ แอมวางยาในน้ำดื่มของผู้ตาย ผู้ตายหมดสติและเสียชีวิต (แรงจูงใจก่อเหตุ : ล้างหนี้ , เอาทรัพย์สินผู้ตาย)
- 15.น.ส.ศิริพร (ก้อย) อายุ 33 ปี : เล่นวงแชร์เดียวกับแอม โดยวันที่ 14 เม.ย.66 แอมชวนผุ้ตายไปทำบุญที่ จ.ราชบุรี เมื่อมาถึงทั้งสองใช้เวลาอยู่ในรถ 41 วินาที ก่อนจะรถจากรถ และผู้ตายหมดสติและเสียชีวิต หลังเกิดเหตุแอมได้ขโมยทรัพย์สิน และขับรถหลบหนี (แรงจูงใจก่อเหตุ : ค่าแชร์ , เอาทรัพย์สินผู้ตาย)
รวม 15 คดี กว่า 75 ข้อหา
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตทั้งหมด มีความเกี่ยวพันกับแอม ไซยาไนด์ ในฐานะเจ้าหนี้เงินกู้ นายหน้าขายรถมือสอง และลูกวงแชร์ ซึ่งพนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดีประกอบด้วยตำรวจสอบสวนกลาง โดยกองบังคับการปราบปราม ตำรวจภูธรภาค 7 ตำรวจพิสูจน์หลักฐานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รวบรวมพยานหลักฐานจากพื้นที่เกิดเหตุเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด สอบปากคำแพทย์ผู้ชันสูตร
ซึ่งสถาบันนิติเวชวิทยาได้ตรวจสอบเลือดและสารคัดหลั่งในกระเพาะจากศพเหยื่อรายสุดท้ายที่ จ.ราชบุรี พบสารไซยาไนด์ในเนื้อตับของผู้ตาย รวมพยานอื่น ๆ ทั้งหมดกว่า 900 ปาก มีเอกสารเกี่ยวกับคดีถึง 26,500 แผ่น ใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานมากกว่า 3 เดือน ถือเป็นคดีที่ระดมชุดสืบสวนสอบสวนมากที่สุดในประเทศไทยจนสามารถสรุปสำนวนดำเนินคดีนางสรารัตน์ รวม 15 คดี
ประกอบด้วย ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น,ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ,ชิงทรัพย์โดยเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และปลอมปนอาหาร ยา หรือเครื่องอุปโภค บริโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้,การปลอมปนนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และปลอม และใช้เอกสารปลอมฯ รวมกว่า 75 ข้อหา
นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนยังสรุปสำนวนดำเนินคดีกับบุคคลใกล้ชิดนางสรารัตน์ อีก 2 รายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายพยานหลักฐานได้แก่ พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามีแอมคนล่าสุด และ น.ส.ธันย์นิชา ทนายความส่วนตัวของนางสรารัตน์ ดำเนินคดีฐาน เพื่อจะช่วยผู้อื่นมิต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลง ร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทำให้สูญหาย หรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำผิด
พยานหลักฐานสำคัญสู่การมัดตัว ‘แอมไซยาไนด์’
พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. กล่าวว่า หลังมีผู้เสียชีวิตที่ จ.ราชบุรี พบหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่มีบุคคลต้องสงสัยมาด้วยกันกับผู้ตาย เดินลงไปที่ท่าน้ำก่อนขึ้นมาและหลบหนีออกไป เมื่อตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาได้ลักทรัพย์ของผู้ตายไป จึงเปิดคดีและมารดาผู้ตาย สงสัยว่าเป็นการตายพิษธรรมชาติจึงมาร้องเรียนที่กองปราบปราม ก่อนที่ กก.5 บก.ป.ลงพื้นที่สืบสวนข้อเท็จจริง และได้รับสารคัดหลั่งจากผู้ตายมาตรวจที่สถาบันนิติเวช พบสารพิษไซยาไนด์ในเลือดและกระเพาะอาหารในปริมาณเข้มข้นสูง ทั้งยังได้ข้อมูลจากพยานบุคคลที่ได้รับถุงดำบรรจุสารโพรแทสเซียมไซยาไนด์มาจากนางสรารัตน์
ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่านางสรารัตน์ลงมือก่อเหตุจริง จึงขออนุมัติศาลออกหมายจับมาดำเนินคดี จากนั้นมีญาติผู้ตาย 13 ราย และผู้รอดชีวิต 1 ราย สงสัยว่าญาติตนเองประสบเหตุในลักษณะเดียวกัน จึงร้องทุกข์ในหลายพื้นที่ทั้งตำรวจนครบาล ภ.4 และ ภ.7 เมื่อ ผบ.ตร.เห็นว่าคดีเกิดขึ้นทั่วประเทศ จึงมีคำสั่งโอนคดีมายัง บก.ป.
ซึ่งเมื่อสืบสวนสอบสวน พบมูลเหตุจูงใจหลัก 2 เรื่องคือ 1.ฆ่าเพื่อเอาทรัพย์สินเหยื่อไป และ 2.ผู้ตายและผู้ต้องหามาความเกี่ยวข้องกัน โดยผู้ต้องหาหลอกยืมเงินผู้ตาย ให้เงินไปปล่อยกู้และรับดอกเบี้ยอัตราสูง และเล่นแชร์ ซึ่งไม่มีเหยื่อรู้ตัวว่าจะถูกสังหาร
กระบวนทางกฎหมายหลังจากนี้
พ.ต.อ.เอนก เปิดเผยว่า ในส่วนเงื่อนไขตามข้อกฎหมาย ที่พิจารณางดเว้นโทษประหารหากผู้ต้องหาเป็นหญิงตั้งครรภ์นั้น ตามที่นางสรารัตน์ ได้แท้งลูกไปแล้ว จึงถือว่าไม่เข้าเงื่อนไขข้างต้น
และข้อหาที่สั่งฟ้องมีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต ขณะที่สำนวนทั้ง 15 คดีจะเริ่มทยอยส่งให้อัยการภายในวันนี้
อีกหนึ่งคดีประวัติศาสตร์ของไทย
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ผู้ต้องหาวางแผนฆาตกรรมต่อเนื่องยาวนานกว่า 8 ปี โดยวางยาพิษให้เหยื่อกินจนเสียชีวิตในลักษณะเหมือนการเจ็บป่วย ด้วยภาวะการทำงานของหัวใจล้มเหลว เพื่อให้ญาติไม่มีข้อสงสัย ก่อนหวังเอาทรัพย์สินจากเหยื่อ หรือล้างหนี้ที่เคยยืมกันมา
ซึ่งมีผลการวิจัยพบว่าหากฆาตกรเป็นผู้หญิงจะเกี่ยวกับการแสวงหาผลประโยชน์จากคนใกล้ชิด หากเป็นผู้ชายจะเกี่ยวกับการฆ่า เรื่องทางเพศ และล่าเหยื่อเป็นหลัก ส่วนฆาตกรรมต่อเนื่องคือการฆ่าคนมากกว่า 2 คนขึ้นไปโดยทิ้งระยะเวลาห่างกัน ต่างจากการสังหารหมู่
ทั้งนี้ขอให้มั่นใจว่าสามารถดำเนินคดีผู้ต้องหาได้แน่นอน และจะไม่เกืดเหตุซ้ำเช่นคดีนายสมคิด พุ่มพวง หรือคิด เดอะริปเปอร์ ฆาตกรต่อเนื่องที่ออกจากเรือนจำมาก่อเหตุซ้ำแน่ พร้อมยืนยันว่านางสรารัตน์ มีสภาพจิตปกติทุกอย่าง