เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้งสำหรับการเลื่อนยศแบบพุ่งพรวดในวงการสีกากี ไม่เพียงแต่ประชาชนเท่านั้นที่ตั้งคำถาม แม้แต่ตำรวจด้วยกันเองก็ยังพบการโพสต์ตั้งคำถามถึงความเป็นธรรมในระบบการเลื่อนยศดังกล่าว ซึ่งสำหรับบางคนแล้ว อาจใช้เวลานานหลายสิบปี หรืออาจจะไม่มีโอกาสนั้น
นึกถึง ‘จ่าเพียร’ 40 ปี ชีวิตราชการติดยศนายพลหลังวันตาย พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา หรือ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา ที่ต้องปิดฉากชีวิตของนักรบ นักสู้ แห่งเทือกเขาบูโด อันลื่อลั่นกว่า 40 ปี หลังถูกคนร้ายซุ่มโจมตีด้วยการวางระเบิดรถยนต์ และยิงถล่มซ้ำด้วยอาวุธสงคราม จนเสียชีวิตในเวลาต่อมา เมื่อ 13 ปีที่แล้ว หรือวันที่ 12 มี.ค. 53
โดยที่ก่อนหน้านั้น ‘จ่าเพียร’ ยื่นความจำนงขอพิจารณาโยกย้ายเป็น ผกก.สภ.กันตัง จ.ตรัง พื้นที่ของ บช.ภาค 9 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ว่างอยู่ ในปีสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ แต่ก็ไม่ได้รับการพิจารณา และไม่ถึงเดือนก่อนเขาเสียชีวิตยังเดินทางเข้าพบ อภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อร้องเรียนกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจ
“…รับราชการตำรวจมาร่วม 40 ปี และใช้ชีวิตอยู่ใน สภ.บันนังสตา มานานตั้งแต่สมัยชั้นประทวน ต่อสู้กับคนร้ายจนรอดตายมาหลายครั้ง ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็หลายหน ครั้งนี้รู้สึกเหนื่อยล้า และเป็นปีสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ จึงขอโยกย้ายออกนอกพื้นที่ไปอยู่บ้านภรรยาที่ตรัง ผู้บังคับบัญชารับปากจะพิจารณาให้ย้ายไปที่โรงพักดังกล่าว แต่พอคำสั่งแต่งตั้งมาปรากฏว่าไม่ได้ย้าย คงอยากจะทำเรื่องขอพระราชทานยศ พล.ต.อ.ให้ตนตอนตายแล้วมากกว่า…” จ่าเพียร กล่าวตัดพ้อ หลังไม่ได้รับการพิจารณาย้ายไปที่ จ.ตรัง
โดยปัจจุบันวัดคลองเปล จ.สงขลา ได้มีการสร้างอนุสรณ์สถานของ ‘จ่าเพียร’ เอาไว้พร้อมกับรูปปั้นของจ่าเพียร และบทประพันธ์สดุดีความกล้าหาญของจ่าเพียร “วีรชนคนกล้าของแผนดิน”
มีเนื้อความว่า”จากลูกพล สู่นายพล ด้วยผจญความร้อนหน้าว ผ่านศึกทุกครั้งคราว บากบั่นสู้ไม่ถอยหนี จากแรงกายสู่แรงใจ ทุ่มเทให้ในหน้าที่ สละเลือดเป็นชาติพลี ขอสดุดี”จ่าเพียร”