คัดลอก URL แล้ว
ทลายแก๊ง “ซิมม้า” ยึด 1.08 แสนเลขหมาย

ทลายแก๊ง “ซิมม้า” ยึด 1.08 แสนเลขหมาย

เมื่อวันที่ 19 พ.ค. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. แถลงข่าวผลการปฎิบัติการทลายปูพรมตรวจค้นทั่วประเทศ 40 จุด จับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งสิ้น จำนวน 8 ราย พร้อมตรวจยึดของกลางซิมโทรศัพท์ทั้งหมด  จำนวน 108,789 ซิม

พล.ต.ท.วรวัฒน์ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบหมายนโยบายเกี่ยวกับการปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ทุกรูปแบบ  โดยเฉพาะการจำหน่ายซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือแบบลงทะเบียนพร้อมใช้ ทั้งชนิดสำหรับการโทรศัพท์ และชนิดสำหรับใช้อินเทอร์เน็ต แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้  ซึ่งเป็นช่องทางในการกระทำความผิดของเหล่าบรรดาแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น ทางบช.สอท.จึงได้เปิดปฎิบัติการตรวจค้น ซึ่งทางบช.สอท.ได้เริ่มดำเนินการระหว่างวันที่ 15-31 พ.ค. ตรวจค้นในพื้นที่ 8 จังหวัด เชียงราย,ยโสธร,ขอนแก่น,นครราชสีมา,นครปฐม,สมุทรสาคร,กรุงเทพ และสงขลา ต่อเนื่องช่วงเช้าวันนี้อีก 4 จุด

โดยจุดที่น่าสนใจคือผลการจับกุมของ บก.สอท.2 นำโดย พ.ต.อ.ขจร อบทอง รองผบก.สอท.2 พ.ต.อ.ต่อศักดิ์ ปานกลิ่นพุฒ ผกก.4 บก.สอท.2  นำหมายค้นศาลอาญามีนบุรีที่ ค337/2566 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่ง ในหมู่บ้านรัชธานี 10 ซอย2 ถนนคู้บอน27 แยก10 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. 

จากการการตรวจค้นพบซิมมือถือค่ายดีแทค และเอไอเอส จำนวนมาก แต่พบซิมมือถือดีแทคจำนวน 1575 ซิม ที่มีการลงทะเบียนแล้ว และซิมเอไอเอสจำนวน 215 ซิม ที่มีการลงทะเบียนแล้ว มือถือที่ใช้อ่านซิม 2 เครื่อง สมุดบันทึกรหัสในการลงทะเบียน 1 เล่ม สำเนารูปถ่ายใบหน้าและบัตรต่างด้าว (สีชมพู) ของนายโซ เฮือด ซิม สัญชาติกัมพูชา 1 ใบ เจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดไว้ตรวจสอบ พร้อมจับกุมผู้ต่องหาเป็นหญิง อายุ 45 ปี

ผู้ต้องหา ยอมรับว่าได้ขายซิมที่มีการลงทะเบียนให้กับลูกค้าจริง ซึ่งก่อนหน้าตนเองเป็นตัวแทนในการขายซิมมือถือของค่ายเอไอเอส และดีแทค จึงมำให้มีรหัสในการลงทะเบียนซิมโดยไม่ต้องแกะซองออก ส่วนการลงทะเบียนซิมของค่ายดีแทคจะใช้เลข 13 หลัก( หมุนเลขสุ่ม) ของนายโซ เฮือด ซิม สัญชาติกัมพูชาในการลงทะเบียนทั้งหมด ส่วนซิมเอไอเอสตนเองจะเป็นผู้ลงทะเบียนให้ลูกค้า ส่วนซิมที่พบตนซื้อมาจากศูนย์และร้านค้าส่งโดยตรง

จากนั้นจะนำมาแยกซิมเบอร์สวยออกมาจำหน่ายต่างหาก โดยเริ่มต้นตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสน หากซิมเบอร์ไหนใกล้ถึงกำหนดเปิดใช้ซิม ก็จะลงทะเบียนโดยใช้ชื่อตัวเองไว้ก่อนเพื่อไม่ให้หมดอายุ เมื่อลูกค้าซื้อไปก็จะทำเอกสารให้ไปโอนชื่อภายใน 15 วัน ยอมรับว่าตนเองไม่ทราบว่าการลงทะเบียนซิมก่อนนำไปขายให้คนอื่นนั้นเป็นความผิด

จุดที่สองเข้าตรวจค้นห้องพัก ภายในหมู่บ้านการเคหะท่าจีนอาคาร 9  ต.ท่าจีน อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร  ก่อนทำการจับกุม หญิง วัย 33 ปี พร้อมของกลาง คือโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือแบบลงทะเบียนพร้อมใช้ จำนวน 102,180 ซิม

และจุดที่สามและจุดที่สี่ ได้เข้าตรวจค้นในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก จับกุมผู้ต้องหา 4 ราย พร้อมของกลางเป็นซิมโทรศัพท์กว่า 4,804 เลขหมาย อาวุธปืน 1 กระบอก บัตรประจำตัวบุคคลต่างด้าว และโทรศัพท์มือถือจำนวนมาก

นอกจากนี้ยังมีจุดที่น่าสนใจอีกหนึ่งจุด โดยพล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 เปิดเผยว่า พฤติการของผู้ต้องหาที่ สอท.3 ได้เข้าตรวจค้นเมื่อวาน(18 พ.ค.66) และที่จับกุมผู้ต้องหา

โดยกลุ่มนี้เป็นอดีตพนักงานของข่ายมือถือ และได้ผันตัวออกมาทำร้านขายโทรศัพท์เอง  โดยจะนำซิมแจกฟรีไปแจกที่ตลาดนัด  เมื่อประชาชน เห็นว่าเป็นซิมฟรีก็เกิดความสนใจลงทะเบียน ซึ่งหลังลงทะเบียนแล้วจะมีการแจ้งว่าจะต้องเติมเงินเข้าไปก่อนใช้งาน ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ตัดสินใจทิ้งซิมดังกล่าว  ผู้ต้องหาจึงเก็บซิมตัวดังกล่าวที่ประชาชนลงทะเบียนไปขายต่อในให้นายหน้า โดยขายซิมละประมาณ 20 บาท เมื่อนายหน้าขายออนไลน์รับซื้อซิมไป ก็จะไปขายต่อในราคา 39 บาท โดยจะมีค่าส่งซิม ซิมละ 10 บาท อย่างไรก็ตามซิมม้าดังกล่าวจะถูกส่งไปยัง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งจากรายงานข่าว ชายแดนฝั่งนั้นจะมีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่อยู่

ด้าน พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. เผยว่า จะเห็นได้ว่าผู้ต้องหาที่จับกลุ่มส่วนใหญ่จะมีความเกี่ยวข้องกับค่ายมือถือ หรือเป็นอดีตพนักงาน  นอกจากนี้เชื่อว่าหลังจากนี้ราคาของซิม ที่มีการลงทะเบียนและนำไปขายต่อจะมีราคาที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ทาง สอท.จะทำการตรวจสอบของกลาง ช่วงของหมายเลขมือถือแต่ละค่าย จากนั้นจะส่งข้อมูลให้กับ กสทช. เพื่อให้ กสทช. ตรวจสอบ และส่งไปยังค่ายมือถือแต่ละค่าย เพื่อตรวจสอบย้อนกลับไปว่าที่มาของแต่ละเบอร์มาจากดีลเลอร์รายใด และจะส่งให้กับค่ายมือถือพิจารณามาตรการ จัดการกับดีลเลอร์ เหล่านั้น ซึ่งก่อนหน้าที่ทางค่ายมือก็เคยยกเลิกสัญญากับดีลเลอร์ ที่กระทำการในลักษณะนี้มาแล้ว  

นอกจากนี้ก็งฝากเตือนไปยังกลุ่มผู้ที่รับเปิดซื้อ หรือให้เช่าเบอร์ ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ที่จัดหา หรือโฆษณา มีโทษจำคุก 2-5 ปี ปรับ 2-5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ข่าวที่เกี่ยวข้อง