แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า การเคลื่อนไหวของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ที่ระบุว่าวันที่13มี.ค.นี้นายชูวิทย์จะไปยื่นเรื่องให้สำนักงานปปช.สอบสวนนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคมและเลขาธิการพรรคภูมิไจไทย ในข้อหาซุกหุ้นกับ นอมินีและใช้หจก.บุรีเจริญคอนสตรักชั่นที่มีคนใกล้ชิดครอบครัวชิดชอบมาประมูลงานในกระทรวงคมนาคม และขอให้ปปช.ตรวจสอบการทำหน้าที่ของกรรมการปปช.บางราย จากนั้นจะไปยื่นเรื่องให้กกต.ตรวจสอบนายศักดิ์สยามในข้อหาคนใกล้ชิดนายศักดิ์สยามบริจาคเงิน7.5ล้านบาทให้พรรคภูมิใจไทยนั้น
แหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทยแจ้งว่า ยืนยันว่านายชูวิทย์ดำเนินการเรื่องนี้ในช่วงใกล้ยุบสภาเพราะต้องการดิสเครดิตพรรคภูมิใจไทยโดยมีการประสานทางลับกับบางฝ่าย เพราะอย่าลืมว่าเมื่อวันที่1มี.ค.ที่ผ่านมาศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องในคดี บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จํากัด ( มหาชน ) ยื่นฟ้อง คณะกรรมการคัดเลือกฯ และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กรณีมีมติแก้ไขเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาผู้ชนะการประเมินของเอกสารการคัดเลือกเอกชนไปแล้วก็ตามแต่ยังมีคดีที่เกี่ยวข้องอยู่ในชั้นศาลอีกสามคดี และเรื่องนี้ต้องรอครม.ว่าจะให้ความเห็นชอบเมื่อใด
แหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทยกล่าวว่า ทราบว่าในช่วงต้นเดือนมกราคม 2566 มีกระแสข่าวว่า องค์คณะไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติเสียงข้างมากแจ้งข้อกล่าวหาม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.กับพวกรวมสิบสามราย กรณีว่าจ้างบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 3 เส้นทาง ไปจนถึงปี 2585 ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงและไม่ปฏิบัติตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 และพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 และเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนเพียงรายเดียว ต่อมาในห้วงกลางเดือนกุมภาพันธ์2566 ผู้ถูกกล่าวหายื่นคำร้องขอตรวจพยานหลักฐานฯแล้ว และรอว่าปปช.จะสรุปยื่นฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิบสามรายเมื่อใดเพราะคดีจะขาดอายุความในปีนี้
แหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทยแจ้งว่าทราบว่าผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาสิบสามรายนั้นคือ มรว.สุขุมพันธุ์,นายธีระชน มโนมันพิบูลย์ รองผู้ว่าฯกทม.,นายประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ประธานกรรมการบริษัทกรุงเทพธนาคมจำกัด,นายอมร กิจเชวงกุล กรรมการบริษัทกรุงเทพธนาคมจำกัด,นายเจริญรัตน์ ชุติกาญจน์ ปลัดกทม.,นางนินนาท ชลิตานนท์ รองปลัดกทม.,นายจุมพล สำเภาพล ผอ.สำนักการจราจรและขนส่ง,นายธนา วิชัยสาร ผอ.สำนักการจราจรและขนส่ง,นายกฤษณ์ เกียรติพนชาติ ผอ.กองการขนส่ง,นายคีรี กาญจนพาสน์ กรรมการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน),นายสุรพงษ์ เลาหปัญญา กรรมการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน),บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด,บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)
แหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทยกล่าวว่า การดำเนินการของปปช.ในห้วงเวลาข้างต้นสอดรับกับการเคลื่อนไหวของนายชูวิทย์ในห้วงเวลานี้ เพราะจะเห็นว่านายชูวิทย์ได้เคลื่อนไหวช่วงที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องในคดี บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จํากัด ( มหาชน ) ยื่นฟ้อง คณะกรรมการคัดเลือกฯ และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)ในการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม
แหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทยกล่าวว่า ต้องพิจารณาว่าตัวเลขที่นายชูวิทย์อ้างว่าบีทีเอสเสนอราคาต่ำกว่านั้น ตัวเลขมาจากไหนเพราะไม่มีการเปิดซองประมูลครั้งที่หนึ่งและเป็นตัวเลขที่บีทีเอสอ้างขึ้นมาลอยๆ โดยไทม์ไลน์เบื้องต้นเรื่องนี้คือ วันที่28 ม.ค.2563 มติครม.อนุมัติให้ รฟม.คัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม
ว้นที่3 ก.ค.2563 คณะกรรมการคัดเลือกฯได้อนุมัติ RFP (Request For Proposal) หรือ TOR เพื่อคัดเลือกเอกชน โดยให้เสนอซองคุณสมบัติ ซองเทคนิค และซองการเงิน ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติและเทคนิค และให้ผลประโยชน์ทางการเงินสูงสุดจะเป็นผู้ชนะ แต่ก่อนยื่นซอง 1 เดือนเกิดอุบัติเหตุในโครงการรถไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศหลายครั้ง ประกอบกับสายสีส้มเป็นรถไฟฟ้าใต้ดินที่ต้องขุดสถานี-อุโมงค์ผ่านสถานที่สำคัญและเกาะรัตนโกสินทร์ ต้องใช้เทคนิคก่อสร้างและเดินรถที่มีความปลอดภัยสูง รฟม.จึงเสนอให้ คณะกรรมการคัดเลือกฯทบทวนวิธีประเมินเพื่อให้ความสำคัญกับด้านเทคนิคมากขึ้น
วันที่27 ส.ค.2563 คณะกรรมการคัดเลือกฯเห็นชอบให้เปลี่ยนวิธีประเมินจาก ตัดสินด้วยการเงินเป็นตัดสินด้วยคะแนนรวมด้านเทคนิค+การเงิน (30 : 70 รวม 100 คะแนน) โดยขยายเวลายื่นซองไป 45 วัน (จาก 23 ก.ย.2563 เป็น 9 พ.ย.2563 )เพื่อให้เอกชนมีเวลาเตรียมข้อเสนอมากขึ้น และตอนนั้นเอกชนบางรายฟ้องศาล ต่อมาวันที่9 พ.ย.2563 รฟม.เปิดรับซองข้อเสนอ มีผู้ยื่น 2 ราย คือ กลุ่ม BTS และ BEM แต่ไม่ได้เปิดซอง
วันที่3 ก.พ.2564 การฟ้องร้องคดีทำให้การคัดเลือกล่าช้า ส่งผลให้การเปิดบริการสายสีส้มล่าช้ากว่า 2 ปี คณะกรรมการคัดเลือกฯจึงมีมติให้ยกเลิกการคัดเลือกและคัดเลือกใหม่ เพราะจะทำให้การคัดเลือกแล้วเสร็จได้โดยเร็ว โดย รฟม.ได้คืนค่าใช้จ่ายในการซื้อ RFP แก่เอกชนทุกราย และคืนซองข้อเสนอซึ่งยังมิได้เปิดแก่เอกชนทั้ง 2 ราย
“แปลว่าขณะยกเลิกการประมูลครั้งแรก ยังไม่ได้เปิดซองข้อเสนอ นายชูวิทย์มักอ้างเสมอๆว่าการประมูลครั้งที่ 1 ซึ่งถูกล้มไป โดยนายชูวิทย์อ้างว่าบีทีเอส ได้เสนอผลประโยชน์สุทธิให้ รฟม. ติดลบ 9,675.42 ล้านบาท ตัวเลขนี้มาจากไหนเพราะยกเลิกการประมูลไปแล้ว
และเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ชนะการประมูลในการประมูลครั้งที่ 2 คือ BEM พบว่า รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ BEM มากกว่าให้แก่ บีทีเอสถึง 68,612.53 ล้านบาท รวมทั้งจะมีเงินทอนสามหมื่นล้านบาทในโครงการนี้แต่นายชูวิทย์ยังไม่เปิดเผยหลักฐานเงินทอนดังกล่าว ย้ำว่าการประมูลครั้งแรก ยังไม่ได้เปิดซองข้อเสนอ ตัวเลขขอบีทีเอสที่นายชูวิทย์อ้างนั้น ถามว่าลอยมาจากไหน ”แหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทยกล่าว
แหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทยกล่าวว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของนายชูวิทย์โจมตีการประมูลสาย สีส้มและปปช.บางคนนั้น ประเมินว่า เกิดขึ้นเพื่อกดดันปปช.ไม่ให้ชี้มูลความผิดกับบีทีเอสหรือไม่ เพราะนายชูวิทย์ขยับเรื่องนี้น่าจะมีเหตุจากบีทีเอสจะถูกปปช.แจ้งข้อกล่าวหาว่าทุจริตการต่อสัญญาสายสีเขียว และอย่าลืมว่านายชูวิทย์อ้างเสมอว่ารับงานบีทีเอสมาดำเนินการ
แหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทยกล่าวว่า ทราบว่าการดำเนินการครั้งนี้ต่อปปช.ของนายชูวิทย์นั้น นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ผลงานเป็นที่จับตาของสังคมและมีความใกล้ชิดกับนายชูวิทย์ได้ร่วมมือกับอดีตที่ปรึกษากรรมการปปช.และกรรมการปปช.บางคนแจ้งข้อมูลบางอย่างให้นายชูวิทย์ดำเนินการ เพราะนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนนี้กำลังถูกปปช.ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินว่าร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ ประกอบกับตอนนี้ปปช.กำลังสรรหากรรมการปปช.ใหม่จำนวนสามคน โดยทราบว่านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนนี้ประสานกับกรรมการปปช.บางคนเพื่อให้บุคคลใกล้ชิดได้รับการคัดเลือกเป็นปปช. รวมทั้งขอให้สังเกตกระแสข่าวในช่วงที่ผ่านมาว่าการชี้มูลของปปช.หลายวาระนั้นมีความขัดแย้งภายในเพราะปปช.บางคนพยายามช่วยเหลือบางฝ่ายที่ถูกกล่าวหาให้พ้นผิด ทั้งๆที่หลักฐานปรากฏชัดเจน
แหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทยแจ้งว่า หากพิจารณากฎหมายปปช.ฉบับล่าสุดจะพบว่าปปช.ยังให้รายละเอียดต่างๆในการพิจารณาสำนวนคดีต่อสาธารณะไม่ได้เพราะเป็นชั้นความลับในการไต่สวนและชี้มูลความผิดจนกว่าจะยื่นฟ้องต่อศาล ดังนั้นการดิสเครดิตปปช.ในตอนนี้ของนายชูวิทย์จึงน่าจะเป็นการกลบเกลื่อนเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวพันกับตัวเองและคนใกล้ชิด รวมทั้งการต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยใช้การโจมตีพรรคภูมิใจไทยและปปช.มาปั่นกระแส คือรถไฟฟ้าสายสีส้ม
แหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทยแจ้งว่า หากข้อเท็จจริงดังกล่าวของปปช.ที่ดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้และใกล้จะชี้มูลความผิด โดยบุคคล/นิติบุคคลบางรายในจำนวนสิบสามรายที่ปปช.แจ้งข้อกล่าวหาไปแล้วนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม แต่ทำไมการประมูลรอบสองที่มีการซื้อซองประมูลสิบสี่ราย โดยบีทีเอสก็ร่วมซื้อซองประมูลครั้งนี้ด้วย แต่บีทีเอสไม่ยื่นเสนอราคาจนมีผู้ยื่นราคาสองรายและได้ผู้ชนะการประมูลไปแล้วจึงออกมาโจมตีเงินทอนสามหมื่นล้านบาทตรงนี้นายชูวิทย์ขยับเพื่อช่วยบีทีเอสเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียวหรือไม่ ขอให้สังคมช่วยพิจารณากันด้วย