ตำรวจกองปราบปรามตามรวบตัวคุณตาวัย 70 ปี ร่วมกันยักยอกเงินค่าขายของเก่า มูลค่ากว่าล้านบาท
ตำรวจกองปราบปราม นำกำลังเข้าจับกุมนายชัยวัฒน์ หรือชัย วัย 73 ปี ซึ่งมีอาชีพค้าของเก่า ได้ที่บริเวณลานจอดรถตรงข้ามโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ถนนพุทธมณฑลสาย3 แขวงบางไผ่ เขตบางแค กรุงเทพฯ หลังจากตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงบางบอน ในข้อหา “ร่วมกันยักยอกทรัพย์”
สืบเนื่องจากเมื่อปี 2563 ผู้เสียหายซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับค้าเหล็กเส้นของเก่า ได้ส่งเหล็กเส้นที่กว้านซื้อจากแหล่งก่อสร้างทั่วไปให้กับ นายชัยวัฒน์ เพื่อขายต่อให้กับร้านค้าที่นายชัยวัฒน์ เคยค้าขายกันอยู่ ซึ่งก่อนจะทำธุรกิจร่วมกัน นายชัยวัฒน์ แจ้งว่าตนเองประกอบอาชีพค้าของเก่ารับซื้อของเก่าทั่วไป ส่งให้กับร้านรับซื้อที่รู้จักคุ้นเคยกัน โดยทางร้านดังกล่าวได้ให้ราคาดีกว่าร้านอื่น พร้อมกับยื่นข้อเสนอหากมีพวกเหล็กเส้น อลูมิเนียมเก่ามาขายให้ ยิ่งจะทำรายได้ดีกว่าประเภทอื่น นายชัยวัฒน์ ขายได้เท่าไรก็จะได้เงินเท่านั้น แต่จะขอแค่ส่วนต่างเล็กน้อย ทำให้ผู้เสียหายเชื่อมั่นว่า ถ้าส่งเหล็กเส้นให้นายชัยวัฒน์ แล้วจะได้เงินตามที่อ้าง จึงส่งเหล็กเส้นของเก่าที่มีอยู่ให้ไปตั้งแต่ปี 2563
ระยะแรกๆ ได้รับเงินตามที่คุย และตกลงกันไว้ แต่พอผ่านไปได้ไม่กี่เดือนปรากฏว่าเริ่มมีสิ่งผิดปกติ นายชัยวัฒน์ แจ้งว่าทางร้านที่รับซื้อเหล็กเส้นไว้ยังไม่จ่ายเงินบ้าง อยู่ในช่วงโควิดบ้าง ของบางส่วนยังขายไม่ได้ ซึ่งผู้เสียหายก็ยังให้เครดิตให้ความไว้วางใจอยู่ระยะหนึ่ง ครั้นเมื่อทวงถามบ่อยครั้ง ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด ผู้เสียหายได้ตรวจสอบไปยังร้านรับซื้อของเก่าที่นายชัยวัฒน์ นําของไปขาย และได้รับยืนยันว่า ได้ชําระเงินค่าสินค้าไปให้ทั้งหมดแล้ว เมื่อถามนายชัยวัฒน์ แจ้งว่าบางร้านที่นำไปขายได้จ่ายเงินมาให้บ้าง บางร้านยังไม่จ่าย แต่ก็จะทยอยคืนเงินให้ ท้ายสุดก็ไม่ส่งเงินให้ และติดต่อไม่ได้ จึงทราบว่าถูกหลอก และแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลหลักสอง ให้ดำเนินคดีกับนายชัยวัฒน์ ในข้อหา “ร่วมกันยักยอกทรัพย์” มูลค่าความเสียหายเป็นเงินประมาณเกือบล้านบาท ภายหลังศาลแขวงบางบอนได้ออกหมายจับผู้ต้องหารายนี้ไว้
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ทางตำรวจกองบังคับการปราบปราม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้พบตัวนายชัยวัฒน์ ที่ลานจอดรถดังกล่าว จึงแจ้งข้อหาจับกุมนายชัยวัฒน์ ซึ่งในชั้นจับกุมผู้ต้องหา ให้การปฏิเสธ และไม่ขอให้ถ้อยคําใดๆ จึงได้นําตัวส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลหลักสอง เพื่อดำเนินคดีต่อไป