คัดลอก URL แล้ว
“ชูวิทย์” เปิดผังขบวนการ “ตู้ห่าว” ดูแลผับจินหลิง ซัด ตำรวจทำงานตามหลังตลอด

“ชูวิทย์” เปิดผังขบวนการ “ตู้ห่าว” ดูแลผับจินหลิง ซัด ตำรวจทำงานตามหลังตลอด

วันนี้ 9 มกราคม 2566 เมื่อเวลา 14:00 น. ที่โรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก สุขุมวิท24 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง แถลงข่าวถึงกรณีที่ไปรอพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับเรื่องขอให้ชี้แจง กรณีที่อ้างว่าหลานชายมีชื่ออยู่ในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจรถเช่าของนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว และการเข้าให้ปากคำกับสำนักงานจเรตำรวจ เกี่ยวกับการยื่นสอบชุดสอบสวนนครบาลที่ดูแลคดีสถานบันเทิงจินหลิง

นายชูวิทย์ ได้เปิดเผยภาพวงจรปิดด้านในสถานบันเทิงจินหลิง เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2565 โดยปรากฎภาพพนักงานหลายสิบคน และบุคคลอื่นที่เดินเข้าออกอีกจำนวนมาก พร้อมกล่าวว่า ในปัจจุบันมีพยานอยู่ในสำนวนคดีเพียงแค่ 2 คน และไม่มีพยานที่เป็นหญิงขายบริการ หรือบุคคลอื่นอีก

ส่วนคลิปที่ 2 เป็นคลิปกล้องวงจรปิดบริเวณประตูทางเข้าออกผับจินหลิง มีพนักงานคอยตรวคค้นร่างกายซึ่งจากภาพ จะละเว้นการค้นตัวของหลานชายตู้ห่าว แต่จะตรวจอย่างละเอียดกับนักท่องเที่ยว ซึ่งหนึ่งในนั้นพบซองสีขาวที่ตัว ในคลิปพนักงานที่ตรวจได้เรียกผู้ดูแลผับมาพูดคุย ก่อนจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปในผับได้โดยไม่ดำเนินการอะไร แม้จะเห็นว่าถือซองสีขาวที่นายชูวิทย์ตั้งข้อสงสัยว่าซองดังกล่าวเป็นซองที่บรรจุยาเสพติดอยู่

นายชูวิทย์ ยังได้เปิดแผนผังขบวนการผับจินหลิง ที่มีนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าวเป็นหัวหน้าขบวนการสูงสุด มีผู้ร่วมขบวนการรายสำคัญแยกย่อยออกมารวม 10 คน มีการแบ่งหน้าที่กันดูแลทั้งเรื่องเงิน และเรื่องยาเสพติด

นายชูวิทย์ ยังกล่าวถึงประเด็นการโยกย้ายตำรวจ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีผับจินหลิงโดยตรง ของพล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ว่า ควรมีคำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ไปจนถึง 5 เสือโรงพัก สน.ยานนาวา ไม่ใช่ย้ายแค่ระดับปฏิบัติการ อีกทั้งการส่งเจ้าหน้าที่มารักษาการแทน และเกิดการทุจริตอีก ซึ่งเปรียบเหมือนเสือหิว ก็ทำให้เกิดปัญหาเพิ่มขึ้นอีก พร้อมตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์กรตำรวจ

อีกทั้งยังตั้งคำถามไปถึง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัส ผบ.ตร. และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ที่เคยรับประทานอาหารร่วมกันว่า ได้ดำเนินการกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองอย่างไร รวมทั้งกระบวนการจะมีความชัดเจนเป็นรูปธรรมหรือไม่ และจะดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนจีนสีเทาอย่างไร

นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ในวันนี้ตนตั้งใจมาชำแหละเครือข่ายทุจริตคอรัปชั่น ที่พบว่ามีกลุ่มทุน หน่วยงานรัฐ นักการเมืองคอยร่วมสนับสนุน พร้อมกล่าวว่า ถ้าประชาชนสังเกตทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่มีการจับกุมผับจินหลิง ที่ผ่านมาตำรวจทำงานตามหลังที่ตนออกมาเคลื่อนไหวตลอด และปัจจุบันอัยการสูงสุด ยังไม่ได้สั่งให้คดีนี้เป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ สำนวนคดียังเป็นของตำรวจ ตนจึงจำเป็นต้องทำบางสิ่งบางอย่าง เพื่อไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจน แต่หากใครจะโทษตนเองก็พร้อมจะยอมรับ

“ต้นเหตุของเรื่องนี้ ที่ทำมาทั้งหมด เกิดจากการร่วมกันทุจริตสังคมไทย เพราะการสนับสนุนของตัวการ ซึ่งก็คือ ตู้ห่าว แต่ไม่ใช่แค่ตู้ห่าวคนเดียว แต่มีตำรวจ หน่วยงานภาครัฐ และนักการเมือง ที่เป็นตัวการให้การสนับสนุน ไม่งั้น ตู้ห่าว จะไม่สามารถโตได้แบบนี้” นายชูวิทย์กล่าว

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า เมื่อมีนักการเมืองมาเกี่ยวก็ทำให้เงียบกันหมด ไม่มี ส.ส. พูดถึงเรื่องทุนจีนสีเทา ซึ่งถ้าหาก ส.ส. คนใดอยากทำให้เห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่จริง ก็ควรนำเรื่องนี้ไปอภิปรายในสภา ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์

นายชูวิทย์ ได้เปิดเผยถึงการเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ภายหลังจากที่ได้เปิดตัวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อพูดคุยเรื่องหลานชายที่มีชื่อเกี่ยวข้องกับธุรกิจของนายตู้ห่าว และการทำคดีทุนจีนเมื่อวานนี้ไว้ว่า เมื่อวานที่ตนไปดักรอ พล.อ.ประยุทธ์ ตนมองว่า ท่านคงอดทนต่อท่าทีของตนเองไม่ได้ จึงได้เรียกให้เข้าไปพบ ซึ่งคุยกันได้ประมาณ 15 นาที เพื่ออธิบายเกี่ยวกับเรื่องกลุ่มทุนจีนสีเทา ก็รู้สึกว่าพอใจในระดับนึง เพราะหากคิดว่าคนธรรมดาอย่างตนเข้าไปคุยกับนายกฯ ได้นั้น ถือว่าเดินทางมาไกลหรือไม่

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ถ้านายกรัฐมนตรียังจัดการเรื่องนี้ให้ตนไม่ได้ ตนก็จะถามง่ายๆ ว่าใครที่ตนควรจะไปขอให้ช่วยอีก ซึ่งไม่มีแล้ว เพราะนายกรัฐมนตรีคือผู้นำสูงสุดขององค์กรในประเทศไทย

ส่วนเรื่องของหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์นั้น นายชูวิทย์ ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวกับตนว่าขอเวลาในการตรวจสอบ เพราะไม่รู้เรื่องนี้ ซึ่ง ผบ.ตร.ก็รับลูกโดยการไปตรวจสอบรถทัวร์ให้แล้ว ตนก็คงทำได้แค่นั้น พร้อมยืนยันว่า ตนได้ทำในฐานะประชาชนแล้ว หากนายกจะเชื่อสิ่งที่ตนพูดหรือไม่นั้นก็ไม่ทราบ

ชูวิทย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ประเด็นดังกล่าวควรที่จะถูกหยิบยกไปเป็นประเป็นหารือในรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เรื่องนี้ควรจะมีพื้นที่บ้าง ส่วนตัวยอมรับว่ามีคนคอยสนับสนุน ตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ได้เคลื่อนไหวไปแล้ว 80 เปอร์เซ็นต์ และจะยังทำต่อไป


ข่าวที่เกี่ยวข้อง