พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และ พลเรือเอก ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสนาธิการทหารเรือ แถลงความคืบหน้าเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปาง จมในทะเลเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2565 เวลาประมาณ 23.00 น.ที่ผ่านมา
ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับญาติพี่น้องของกำลังพลเรือหลวงสุโขทัย ที่วันนี้ได้มีการพบร่างผู้เสียชีวิต จากการปฏิบัติการลาดตระเวนช่วยเหลือผู้ประสบภัย จำนวน 5 ราย และพบผู้รอดชีวิต 1 ราย รวมพบกำลังพล 81 ราย และยังคงสูญหายอีก 24 ราย
ผู้บัญชาการทหารเรือ ระบุว่าอุปกรณ์ระบบต่างๆบนเรือหลวงสุโขทัย สามารถที่จะใช้งานได้ตามปกติและยังมีประสิทธิภาพ ซึ่งอายุเรือหลวงสุโขทัยอยู่ที่ 36 ปี ตามข้อกำหนดของเรือขนาดใหญ่ที่อยู่ในเกณฑ์ใช้งานจะอยู่ที่ 40 ปี
โดยในวันที่ 18 ธันวาคม 2565 ได้รับภารกิจในการออกลาดตระเวนช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล จากสภาพอากาศที่แปรปรวน ซึ่งสอดคล้อง กับที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศว่า ช่วงดังกล่าว เป็นช่วงมรสุมกำลังแรง เข้ามาประเทศไทย และบริเวณอ่าวไทยที่ส่งผลให้มีสภาพคลื่นลมรุนแรง ทะเลมีคลื่น 3-4 เมตร
สำหรับภารกิจของเรือหลวงสุโขทัยในวันที่ 18 ธันวาคม 2565 คือ สนับสนุนการจัดงานครบรอบ 100 ปี ของกรมหลวงชุมพรที่หาดทรายรี จังหวัดชุมพร ซึ่งเดินทางคู่กับเรือหลวงกระบุรี โดยเรือหลวงกระบุรีถึงหาดทรายรีก่อน ซึ่งพบว่า คลื่นลมแรงไม่สามารถที่จะทิ้งสมอเรือได้ จึงได้ขออนุญาตกองทัพเรือภาค 1 เข้าจอดบริเวณท่าเรือบางสะพาน
โดยเรือหลวงกระบุรีได้ถึงที่ท่าเรือบางสะพานก่อน ซึ่งระหว่างนั้น เรือหลวงสุโขทัย อยู่ระหว่างเดินทางจากหาดทรายรีไปยังท่าเรือบางสะพาน พบว่าคลื่นลมแรงมากกว่า 3-4 เมตร และจากข้อเท็จจริง เบื้องต้น ทราบว่า มีน้ำเข้าเรือในปริมาณมาก โดยน้ำเริ่มเข้าหัวเรือส่งผลต่อระบบไฟฟ้าต่างๆของเรือ ซึ่งมีความพยายามในการสูบน้ำออกจากเรือ แต่ไม่สามารถสูบได้ทันกับปริมาณน้ำที่เข้ามา ทำให้น้ำเข้ามาในตัวเรือมากขึ้นเรื่อยๆ โดยพบว่า เครื่องยนต์ซ้าย เริ่มดับเหลือเพียงเครื่องยนต์ขวาเพียงครึ่งเดียว และระบบควบคุมต่างๆ มีการสูญเสียไม่สามารถทำความเร็วได้ ในการมายังท่าเรือบางสะพาน สุดท้ายน้ำท่วมเรือ ทำให้ไฟฟ้าดับทั้งหมด กลายเป็นเรือที่ลอยลำกลางทะเล น้ำเข้ามาเรื่อยๆ จนเรือเอียงในที่สุด จากนั้นเรือหลวงกระบุรีที่อยู่ท่าเรือบางสะพานห่างไป 20 ไมล์ จึงได้เข้าทำการช่วยเหลือ ในขณะนั้นทางเรือได้มีการรายงานว่าระดับน้ำที่เข้าเรืออยู่ในระดับคงที่มีการเอียง 60 องศา กำลังพลสวมเสื้อชูชีพและขึ้นมาอยู่บนดาดฟ้า
โดยช่วงแรกมีการตั้งเป้า ในการใช้ ฮอลิคอปเตอร์ลำเลียง เครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ แต่พบว่าปริมาณน้ำเข้ามามากและเรือมีความเอียง จึงไม่สามารถดำเนินการได้ รวมถึงเรือหลวงกระบุรี ที่มีความพยายามจะเข้าไปใกล้เรือหลวงสุโขทัย เพื่อให้การช่วยเหลือ ทั้งนี้ได้มีการ ขอความช่วยเหลือ ไปยังเรือที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียงด้วย
ซึ่งกำลังพลทุกนาย จะมีเสื้อชูชีพประจำตัว และพร้อมที่จะสละเรือใหญ่ มีการติดตั้งแพชูชีพ แพดังกล่าวบรรจุกำลังพลได้ 15 คน มีทั้งหมด 6 แพ ส่วนสาเหตุ ตอนแรกที่ไม่นำกำลังพลลงแพชูชีพ แล้วให้ไปอยู่ตรงดาดฟ้าของเรือ เนื่องจากเห็นว่า ความเอียงของเรืออยู่ในระดับคงที่ แต่ขณะนั้น พบว่า เรือเอียงมากขึ้น น้ำเข้าต่อเนื่อง จึงใช้วิธีให้กำลังพลลงแพชูชีพเพื่อมายังเรือหลวงกระบุรี ช่วงเวลานั้นช่วยเหลือได้ 75 ราย ขณะนั้นสูญหาย 30 ราย และ ช่วงเวลานั้นเรือกระบุรี พยายามค้นหา แต่ไม่พบผู้สูญหายเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ทางกองทัพเรือจะต้องรายงานเหตุการณ์ตามระเบียบตามขั้นตอน ยืนยัน จะมีการสอบสวนข้อเท็จจริงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และรายงานความสูญเสียทั้งกำลังพล สาเหตุที่เรืออับปางและสาเหตุถึงกรณีที่มีการระบุว่าเสื้อชูชีพไม่เพียงพอ และอุปกรณ์ต่างๆ ฝากถึงประชาชนว่ากองทัพเรือมีกฎหมายตามลำดับที่จะต้องรายงานข้อมูลตามข้อเท็จจริง และจะไม่มีการปกปิดข้อเท็จจริงใดๆ ก็ตาม และจะทำทุกอย่างเต็มความสามารถ ที่จะช่วยเหลือกำลังพลที่รับตัวมารักษาและกำลังพลที่อยู่ระหว่างการค้นหา
ผู้บัญชาการทหารเรือ ยังระบุด้วยว่า ยังคงทำการค้นหาผู้ประสบภัย เนื่องจากการ พบกำลังพลที่รอดชีวิต ห่างจากจุดที่เรือหลวงสุโขทัยไปทางใต้ 60 กิโลเมตร ในระยะเวลา 41 ชั่วโมง แล้วกำลังพลยังรอดชีวิต จึงทำให้ปฏิบัติการในการค้นหาครั้งนี้จะทำต่อไป โดยจะมุ่งเป้าไปที่ทางตอนใต้จากจุดที่เรือหลวงสุโขทัยจม
ส่วนกรณีที่มีการระบุว่าเสื้อชูชีพไม่เพียงพอต่อกำลังพลนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือยอมรับว่า เสื้อชูชีพไม่เพียงพอต่อกำลังพลที่เพิ่มเติมมา 30 นาย จึงนำอุปกรณ์ช่วยชีวิตอื่นๆ ที่อยู่บนเรือมาช่วยในการลอยตัวเพื่อช่วยชีวิต และใน 30 นายช่วยมาแล้ว จำนวน 18 นาย และอีก 12 นายยังสูญหาย
ส่วนกรณีการกู้เรืออยู่ระหว่างการพิจารณาในการประชุมวางแผนในการกู้ซากเรือหลวงสุโขทัยต่อไป โดยจะต้องใช้หน่วยงานผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งได้สั่งการยังกองเรือทุ่นระเบิด
ในการดูลักษณะการจมของเรือ และแนวทางในการกู้เรือต่อไป
ด้านเสนาธิการทหารเรือ กล่าวว่า จากการพบกำลังพลราย ล่าสุด ระยะเวลาจากเรือจมจนถึงตอนพบ ห่างไป 41 ชั่วโมง และกำลังพลยังไม่เสียชีวิต จึงจะทำการค้นหากำลังพลที่เหลือต่อไปและเชื่อว่าจะปลอดภัย
กรณีการเยียวยากำลังพลผู้เสียชีวิต จะได้รับเลื่อนชั้นยศ 5 ชั้นยศ ที่ 1-2 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับระดับขั้น ยืนยันจะเยียวยาผู้สูญเสียอย่างเต็มที่