วันนี้ (7 ธ.ค. 2565) นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยกล่าวถึงนายชูวิทย์ว่า ที่ผ่านมามีความพยายามจะเปิดโปงกลุ่มธุรกิจสีเทา และพยายามจะตรวจสอบตน จึงอยากถามว่าจะตรวจสอบตนในฐานะอะไร และก่อนที่จะตรวจสอบหรือเปิดโปงคนอื่นนั้น อยากให้นายชูวิทย์ตอบสังคมก่อนว่าที่ผ่านมาการทำธุรกิจของนายชูวิทย์นั้นมีการเสียภาษีอากรตามกฎหมายหรือไม่ พร้อมโชว์เอกสารงบการเงินตั้งแต่ปี 2543 ทั้งธุรกิจ 3 บริษัทของนายชูวิทย์ รวมถึงธุรกิจอาบอบนวดอีก 6 แห่ง ว่าภาวะขาดทุนมาตลอด และที่ผ่านมายังไม่เคยตอบเลยว่าได้เสียภาษีหรือไม่ โดยตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการตกแต่งบัญชีเพื่อหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีหรือไม่ เพราะมีการปล่อยให้กรรมการในบริษัทกู้ยืมเงินบริษัทประมาณกว่า 400 ล้านบาท เป็นการเงินกู้ระยะยาว ทั้งที่มีภาะขาดทุน เป็นไปได้อย่างไร ทั้งนี้ยังนำโฉนดที่ดินของ 3 บริษัทมาแสดงเพื่อยืนยันว่าบริษัทดังกล่าวเป็นของนายชูวิทย์จริง
โดยหลังจากนี้จะนำเอกสารทั้งหมดนี้ไปยื่นต่อกรมสรรพากรให้ดำเนินการตรวจสอบบริษัทนายชูวิทย์ อีกทั้งยังยืนยันว่าจะเดินหน้าเอาผิดนายชูวิทย์แม้ว่าตอนนี้ตนได้ร้องทุกข์กล่าวโทษนายชูวิทย์ไปแล้วถึง 9 คดี แต่เบื้องต้นตั้งข้อสังเกตุว่าการที่นายชูวิทย์ไปมอบแบริเออร์ให้กับ สน.ทองหล่อนั้น ตนเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมาย เนื่องจากตนมีคดีความกับนายชูวิทย์อยู่ที่นั่น ส่วนกรณีเบื้องหลังของบุคคลที่เปิดโปง 5 กลุ่มมาเฟียจีนสีเทานั้น นายสันธนะได้นำภาพที่ปรากฎบุคคลหนึ่งที่เป็นอดีตผู้บัญชาการทหารบกซึ่งอยู่ในงานแต่งลูกชายนายชูวิทย์ โดยตั้งข้อสังเกตถึงความใกล้ชิดสนิทสนมกัน ซึ่งสันนิษฐานว่าบุคคลในภาพนั้นน่าจะอยู่เบื้องหลังการออกมาแฉธุรกิจนายทุนสีเทาของนายชูวิทย์หรือไม่ เนื่องจากกระแสสังคมมีการสร้างวาทะกรรมให้ตนเป็นคนขายชาติ ซึ่งเชื่อว่าเป็นปฏิบัติการไอโอ
ส่วนกรณีของนอร์ท กองสลากพลัส ได้ออกมาแถลงข่าวเมื่อวานนี้ว่านายสันธนะไม่มีอำนาจใดๆ ในการตรวจสอบบริษัทของตนเองนั้น วันนี้นายสันธนะชี้แจงว่าตนมีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ที่ให้สิทธิพลเมืองในการตรวจสอบความผิดปกติหรือความไม่ชอบมาพากลได้ และพร้อมโชว์เอกสารทางการเงินของบริษัท กองสลากพลัส โดยระบุว่าเป็นการดาวน์โหลดมาจากเว็บไซต์กรมธุรกิจการค้าภายใน โดยฝากบอกว่าอย่ามัวแต่เล่นติ๊กต่อก ให้รู้จักอ่านข้อมูลทางกฎหมายด้วย และท้าให้นอร์ทนำเงิน 200 ล้านบาทมาวางเป็นกองกลาง และไปออกรายการทีวีร่วมกัน หากคนนำเอกสารด้านการเงินของบริษัทมาได้ให้มอบเงิน 200 ล้านบาทให้ตน
ส่วนในกรณีที่นายชูวิทย์ได้แฉไปก่อนหน้านี้ว่ามีนายทุนใหญ่ 5 เจ้า ได้ส่งเงินให้กับนายเจ้าเหว่ยเจ้าของคาสิโนคิงโรมันใน สปป.ลาวนั้น นายสันธนะบอกว่า นายชูวิทย์รู้จริงหรือไม่ เพราะตอนนี้คิงโรมันได้มีนายทุนจากสิงคโปร์เข้าไปเช่ากิจการ และเปลี่ยนเป็นขื่อลูซี่ ซึ่งตามหลักกฎหมายสิงคโปร์แล้วมีโทษรุนแรงหากทำผิดกฎหมายเรื่องยาเสพติด โดยเชื่อว่าไม่มีธุรกิจผิดตัวหรือธุรกิจสีเทาที่เขื่้อมโยงกับลูซี่ พร้อมทั้งยังได้โชว์ภาพถ่ายตนเองคู่กับสกายนักธุรกิจจากสิงคโปร์ระดับหมื่นล้าน ซึ่งเป็นบุคคลหนึ่งที่เข้าไปเช่ากิจการลูซี่
สำหรับที่ตนได้แจ้งความเอาผิดนายชูวิทย์และพวกทั้งหมด 9 คดีนั้น คดีแรกตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน ในข้อหาโรงแรมเดอะ เดวิส มั่วสุมยาเสพติดและเปิดสถานบันเทิงเกินเวลาที่กำหนด พื้นที่ สน.ทองหล่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน ที่นายชูวิทย์ออกมาแถลงข่าวและชี้สุนัขพร้อมเรียกชื่อตน แจ้งความข้อหาดูหมิ่นโดยการโฆษณาและหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พื้นที่ สน.ทองหล่อ วันที่ 7 พฤศจิกายนพื้นที่ สน.ลุมพินี ข้อหาพูดพาดพิงให้เสียหายและดูหมิ่นด้วยการโฆษณา กรณี นายทอม เครือโสภณ พูดถึงนายชูวิาย์และมีการพาดพิงมาถึงนายสันธนะในช่องยูทูปของตนเอง วันที่ 9 พฤศจิกายนแจ้งความ 3 กรรม ในพื้นที่ สน.ทองหล่อ ได้แก่ เอาผิดในข้อหาดูหมิ่นซึ่งหน้าโดยการโฆษณา กรณีเผชิญหน้า มีปากเสียงกัน และนายชูวิทย์ท้าชกต่อยที่หน้า สน.ทองหล่อ, กรรมที่ 2 กรณีนายชูวิทย์โทรศัพท์หา พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ ให้สัมภาษณ์ในรายการหนึ่ง พาดพิงถึงตนโดยใช้คำว่า “สันขวาน” กรรมที่ 3 กรณีนายชูวิทย์โพสต์พาดพิงว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องในการเรียกเก็บเงินค่าที่จอดรถตลาดใหม่ดอนเมือง ในข้อหาหมอ่นประมาท พื้นที่ สน.ทองหล่อ
ส่วนคดีที่ 7 วันที่ 3 ธันวาคมพื้นที่ สน.ลุมพินี ซึ่งตนมาดูคลิปย้อนหลังเมื่อครั้งเผชิญหน้ากับนายชูวิทย์ที่รัฐสภา จึงมาแจ้งความในข้อหาดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ต่อมาวันที่ 6 ธันวาคม ตนไปร้องเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กรณีที่นายชูวิทย์เข้าไปก่อความวุ่นวายและบุกรุกเขตหวงห้ามบริเวณรัฐสภา และในวันเดียวกันได้ไปร้อง ปปง.กรณีที่นายชูวิทย์เอาข้อมูลธุรกรรมการเงินของนายตู้ห่าวไปให พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ซึ่งตนมองว่าหลักฐานนี้เป็นข้อมูลลับและไม่ใช่หน้าที่ของนายชูวิทย์