วันนี้ 14 กันยายน 2565 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงแรงงาน ที่ 39/2552 ลงวันที่ 21 มกราคม 2552 ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ลงโทษปลดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกจากราชการ และคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม โดยให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันที่คำสั่งและคำวินิจฉัยดังกล่าวมีผลบังคับ
สืบเนื่องจากกรณีที่ คดีของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ เเละอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ยื่นฟ้องกระทรวงแรงงาน รมว.แรงงาน คณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวงแรงงาน (อ.ก.พ. กระทรวงแรงงาน) คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-5
คดีนี้ผู้ฟ้องคดี ฟ้องว่า เดิมผู้ฟ้องคดีรับราชการตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม ต่อมาเป็นปลัดกระทรวงแรงงาน จนพ้นจากตำแหน่ง ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตามมติผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ได้มีคำสั่งที่ 39/2552 ลงวันที่ 21 ม.ค.52 ลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ อ้างว่าผู้ฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
กรณีผู้ฟ้องคดีในฐานะปลัดกระทรวงยุติธรรมพิจารณาสั่งระงับเรื่องไม่ดำเนินคดีกับนายประมาณ ตียะไพบูลย์สิน อดีตอธิบดีกรมบังคับคดี และนายมานิตย์ สุธาพร อดีตรองอธิบดีกรมบังคับคดี ที่ไม่เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียม 70 ล้านบาทจากการขายทอดตลาดที่ดินของศาลจังหวัดธัญบุรี ทั้งที่ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเห็นว่า การคืนเงินดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ทางราชการเสียหาย ผู้ฟ้องคดีได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวแล้ว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 พิจารณายกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า คำสั่งลงโทษทางวินัยปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้ 1.เพิกถอนคำสั่งกระทรวงแรงงานที่ 39/2552 ลงวันที่ 21 ม.ค.52 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ที่ลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ 2.เพิกถอนมติการประชุม อ.ก.พ.กระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 9/2551 เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.51 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
3.เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม เรื่องดำ 5210006 เรื่องแดงที่ 0012155 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 และ 4.เพิกถอนมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในการประชุมครั้งที่ 61/2551 ลงวันที่ 16 ต.ค.51 ที่ลงมติว่าผู้ฟ้องคดีกระทำผิดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า อำนาจในการไต่สวนข้อเท็จจริงของ กรรมการป..ช. ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 5 เป็นกรณีกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ การกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมเท่านั้น ไม่รวมถึงการกระทำความผิดฐานประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นมูลความผิดทางวินัย ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ใช้อำนาจชี้มูลว่าผู้ฟ้องคดีกระทำความผิดฐานประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง จึงไม่มีอำนาจกระทำได้
ส่วนที่อ้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นคนละกรณีกับมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ในคดีนี้ ซึ่งแตกต่างจากกรณีของผู้ฟ้องคดี ข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 จึงไม่อาจรับฟังได้ ดังนั้น มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ในการประชุมครั้งที่ 61/2551 ลงวันที่ 16 ต.ค.51 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีจึงไม่มีผลผูกพันผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ฟ้องคดีที่จะถือเอารายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงและความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 มาเป็นสำนวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย
เมื่อผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 2 มีคำสั่งกระทรวงแรงงานลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ ตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามที่วินิจฉัยไว้ในข้างต้น โดยมิได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้ฟ้องคดี และมิได้แจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดี คำสั่งลงโทษทางวินัยดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และย่อมมีผลทำให้การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 มีคำวินิจฉัย ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี ด้วยเหตุอย่างเดียวกันไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
พิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงแรงงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และคำวินิจฉัยเรื่องของผู้ถูกฟ้องคดีที่4 ที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี โดยให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันที่คำสั่งและคำวินิจฉัยดังกล่าวมีผลบังคับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ด้านนายสมชาย ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า วันนี้ตนได้รับความเป็นธรรมจากศาลปกครองสูงสุด ที่ระบุว่าป.ป.ช. ไม่มีอำนาจไต่สวนคดีของตน เพราะตามรัฐธรรมนูญ 2550 ระบุว่าป.ป.ช.ทำได้เฉพาะข้าราชการทุจริต ร่ำรวยผิดปกติหรือทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของตน ดังนั้น ศาลจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้ตนออกจากราชการทั้งหมด ซึ่งรู้สึกดีใจมาก เพราะตนเป็นข้าราชการ ปฏิบัติหน้าที่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อย เมื่อมาเจอแบบนี้ก็ต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด
วันนี้ตนได้รับความเป็นธรรมกลับคืนมา จากที่เคยถูกไล่ออกจากราชการ หรือให้ออกจากราชการ มาวันนี้กลายเป็นผู้ที่ไม่เคยถูกไล่ออกหรือให้ออกจากราชการ เป็นข้าราชการที่บริสุทธิ์ ชื่อเสียงที่เสียไป ก็ได้กลับคืนมา แต่ระหว่างนี้ได้ต่อสู้มาเกือบ 20 ปีกับสิ่งที่ตนไม่ควรถูกไต่สวน
ส่วนการเรียกคืนสิทธิประโยชน์ที่เสียไป นายสมชาย กล่าวว่า ขอดูรายละเอียดคำวินิจฉัยของศาลก่อน อะไรที่ควรทำก็จะทำ เราจะไม่กลั่นแกล้งหรือแก้แค้นใคร แต่อยากให้เข้าใจว่าที่ตนพูดถึง ป.ป.ช.ไม่ใช่ชุดนี้ ไม่เกี่ยวกัน ส่วนจะเรียกค่าเสียหายจากป.ป.ช.หรือไม่นั้น คงให้ฝ่ายกฎหมายดูว่าควรทำอะไร ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร อะไรที่ไม่มีสิทธิ์ก็ไม่ทำ