KEY :
- ผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายแรกของไทย เป็นชายไนจีเรีย อายุ 27 ปี
- เข้ามาไทยตั้งแต่ 21 ต.ค. 64 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนไปพักอยู่ที่ภูเก็ต
- ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่า มีเพศสัมพันธ์กับหญิง (ไม่ให้ข้อมูล-รายละเอียดเพิ่ม)
- มีอาการในช่วงวันที่ 9 ก.ค. ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาในช่วง 16 ก.ค.
- หลังรพ.แจ้งผล และจะรับตัวมารักษาได้หลบหนีออกจากคอนโดฯ ที่พัก
- โดยในขณะนี้ ยังคงอยู่ในระหว่างการเร่งติดตามตัว
…
จากกรณีที่มีรายงานการพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายแรกของประเทศที่จังหวัดภูเก็ต โดยในวันนี้ ทางจังหวัดได้มีการแถลงข่าวรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายแรกของประเทศ ระบุว่า
ผู้ป่วยรายนี้ เป็นชาย อายุ 27 ปี ชาวไนจีเรีย ซึ่งเข้าไทยมาตั้งแต่เมื่อประมาณ 21 ต.ค. 64 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยใช้วีซ่า NON – IMMIGRANT ED ระบุว่า จะไปที่เชียงใหม่ แต่เปลี่ยนเส้นทางการเดินทางมาพักที่คอนโดฯ ที่ป่าตองเมื่อ พ.ย.64 จนปัจจุบัน (โอเวอร์สเตย์) ซึ่งผู้ป่วยรายนี้ไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาโรค หรือให้ข้อมูลใด ๆ โดยจากการสอบสวนโรคพบว่า
จากการสอบถามข้อมูล ผู้ป่วยระบุว่า ชอบเที่ยวสถานบันเทิง โดยในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีเพศสัมพันธ์กับหญิง ซึ่งไม่ได้ให้ข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมแต่อย่างใด
…
…
ไทม์ไลน์ผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายแรกของไทย
- 9 ก.ค. – ผู้ป่วยเริ่มมีอาการ ไข้ เจ็บคอ มีผื่นขึ้น โดยเริ่มจากบริเวณอวัยวะเพศ และลุกลามขึ้นไปยังบริเวณใบหน้า แขน ขา
- 16 ก.ค. – เข้ารับการรักษาที่รพ.กรุงเทพ ภูเก็ต ในจังหวัดภูเก็ต แต่ทางรพ.แห่งแรกไม่มีแพทย์ผิวหนัง จึงได้ส่งตัวต่อไปยังรพ.อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งทางรพ. สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคฝีดาษลิง ได้ทำการเจาะเลือด เก็บตัวอย่างเพื่อส่งตรวจหาเชื้อโรคฝีดาษลิง พร้อมประสานทางสาธารณสุขจังหวัด โดยให้ผู้ป่วยไปกักตัวต่อที่ ดี คอนโด กะทู้
- 18 ก.ค. – ผลแล็บแห่งแรกจากห้องปฏิบัติการที่คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (TRC-EIDCC) ระบุติดเชื้อฝีดาษลิง โดยหลังทราบผล ทาง รพ.ได้มีการโทรประสานกับผู้ป่วยเพื่อเข้ารับการรักษาที่ รพ.วชิระภูเก็ต แต่ผู้ป่วยปฏิเสธ ทำการปิดโทรศัพท์
ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ มีการประสาน ตม. ในการเฝ้าติดตามที่คอนโดฯ ของผู้ป่วย พบว่า ผู้ป่วยรายนี้ ได้นั่งแท็กซี่ออกจากดี คอนโด กะทู้ ในช่วง 19.30 น. ไปยังโรงแรมอีกแห่งหนึ่งที่ป่าตอง
- 19 ก.ค. – ห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยันผลซ้ำ ระบุเป็นโรคฝีดาษลิง
เจ้าหน้าที่ตร. ตรวจสอบกล้องวงจรปิดจนพบร่องรอยการหลบหนี / มีการประสานเพื่อเข้ารับการรักษาอีกครั้ง โดยผู้ป่วยแจ้งนัดว่า จะเข้ารับการรักษา
ทางด้านของผู้ป่วยรายนี้ยังคงอยู่ในโรงแรม โดยไม่ได้ให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดแต่อย่างใด ก่อนที่ในช่วง 21.00 น. ได้นำกุญแจมาคืนที่เค้าเตอร์ และหายไป และไม่ได้ไปตามนัด และปิดโทรศัพท์มือถือ
- 20 ก.ค. – มีการประชุมสรุปในคณะกรรมการโรคติดต่อ / จนท. ดำเนินการติดตามตัวผู้ป่วย
จนท.ได้ติดตามไปยังที่พักคือโรงแรมป่าตอง ปริ้นเซส บริเวณแยกป่าตองฮิลล์ จากการสอบถามพนง. ได้ข้อมูล ผู้ป่วยมาเข้าพักเพียงคนเดียว จำนวน 2 วัน ชำระค่าห้องพักเป็นเงินสด ซึ่งผู้ป่วยนำกุญแจมาคืน โดยไม่ได้แจ้งเช็คเอ้าท์แต่อย่างใด
- 21 ก.ค. – ได้ข้อสรุปว่า ผู้ป่วยรายดังกล่าวเป็นโรคฝีดาษลิงรายแรกในประเทศไทย ดำเนินการสอบสวนโรคและเร่งติดตามตัว
…
…
กลุ่มเสี่ยงที่เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
ผลการตรวจสอบพบผู้สัมผัสใกล้ชิดจากการไล่ตามแกะรอยจากกล้องวงจรปิด โดย
- คอนโดฯ ที่พัก
พบชายชาวไนจีเรีย 1 ราย และหญิง อีก 1 ราย - รพ. ทั้ง 2 แห่ง
ไม่มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง มีเพียงผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 1 ราย - แท็กซี่ ที่รับผู้ป่วยออกไปจากคอนโดฯ
ยังอยู่ในระหว่างการติดตาม เนื่องจากกล้องวงจรปิดไม่เห็นป้ายทะเบียน - ในชุมชน จำนวน 2 แห่งคือ ที่โรงแรมที่ป่าตอง และร้านซักรีด
พบผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 9 คน - สถานบันเทิง ที่ป่าตอง จำนวน 2 แห่ง
สอบสวนโรคทั้งหมด 142 ราย ไม่พบผู้สัมผัสใกล้ชิด แต่พบผู้ที่มีอาการต้องสงสัย (ไข้ ไอ เจ็บคอ) 5 ราย
โดยผลตรวจหาเชื้อจากตัวอย่างในผู้สัมผัสเสี่ยงที่คอนโดฯ 2 ราย และที่สถานบันเทิง 5 ราย ไม่พบเชื้อ ส่วนผู้สัมผัสในชุมชน อยู่ในระหว่างการรอผลการตรวจหาเชื้อ
มาตรการที่ดำเนินการ
ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการย้อนกลับไปดูผู้ป่วยเก่าที่เคยมีเข้ามาพบแพทย์และมีอาการผื่น ไข้ ไอ เจ็บคอ และจะมีการสอบสวนโรคเพิ่มเติม ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา
ทางด้านของเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า หลังรับแจ้งเหตุในวันที่ 18 ก.ค. ได้ติดตามไปที่ ดี คอนโด กะทู้ และได้เข้าตรวจสอบที่ห้องพัก ไม่พบผู้ป่วย ได้มีการตรวจกล้องวงจรปิดจึงพบว่า ผู้ป่วยได้หลบหนีออกจากที่พัก ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ไล่ตรวจจากกล้องวงจรปิดต่าง ๆ ไปเรื่อย จนพบว่า ผู้ป่วยที่ป่าตอง
หลังจากที่เข้าพักที่โรงแรมบริเวณแยกป่าตองฮิลล์แล้ว ในวันรุ่งขึ้นได้นำกุญแจมาคืน ก่อนที่จะออกไป และขึ้นรถคันหนึ่งออกไปทางกะหลิม กมลา ผ่านไปทางอบต.เชิงทะเล ซึ่งยังคงติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า ผู้ป่วยรายนี้ น่าจะยังอยู่ในภูเก็ต เนื่องจากการตรวจสอบกล้องวงที่ด่านท่าฉัตรไชย ไม่พบว่า รถคันที่มารับผู้ป่วยรายนี้ ผ่านไปแต่อย่างใด
แต่ก็ยังไม่ทิ้งในกรณีที่ผู้ป่วยรายนี้ เปลี่ยนรถ และเดินทางออกจากภูเก็ต ส่วนการเดินทางทางอากาศนั้น ทางจังหวัดได้ประสานกับทางสนามบินไว้แล้ว ดังนั้นจะไม่สามารถเดินทางออกจากภูเก็ตผ่านทางเครื่องบินนั้น
การระบาด
สำหรับการแพร่ระบาดของเชื้อในขณะนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อได้ คือการสัมผัสใกล้ชิด เช่น การสัมผัสตัวกันในลักษณะเนื้อแนบเนื้อ, สัมผัสสารคัดหลั่ง เช่นการไอ – จามใส่หน้าตรง ๆ นำไปสู่การสัมผัส น้ำลายหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
ซึ่งการติดเชื้อจะคล้ายคลึงกับโรคอีสุกอีใส คือการสัมผัสตุ่มน้ำ หรือตุ่มหนอง แต่จะติดทางอากาศได้ยากกว่าอีสุกอีใส
ซึ่งผลการตรวจเชื้อของผู้ป่วยรายนี้ พบว่า เป็นเชื้อสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก มีความรุนแรงที่ต่ำกว่า สายพันธุ์แอฟริกากลางที่มีความรุนแรงกว่า
โดยในขณะนี้ ในต่างประเทศเป็นการติดเชื้อจากการสัมผัสใกล้ชิดจากการมีเพศสัมพันธ์กัน มีส่วนน้อยที่เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิด ซึ่งจะต้องเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกันมาก ๆ เช่น คลุกคลีใกล้ชิดกันเป็นระยะเวลานาน
ระยะฟักตัวของเชื้ออยู่ที่ 5-21 วัน ทำให้การกักตัวผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยงก็จะอยู่ที่ 21 วัน ส่วนผู้ป่วยจะเป็นการรักษาตามอาการ ไม่ยารักษาเป็นการเฉพาะ
คำแนะนำในการหลีกเลี่ยง
- สำหรับผู้ให้บริการที่ต้องสัมผัสตัวกัน เช่น นวด สปา แนะนำให้เลี่ยงให้บริการผู้ป่วยที่มีลักษณะของตุ่มหนอง ผื่น
- กรณีจำเป็นที่ต้องสัมผัส สามารถใช้การสวมถุงมือป้องกันได้
- พื้นที่สัมผัสร่วมเช่น ชักโครก ที่อาจมีการใช้ร่วมกัน ซึ่งอาจจะเปรอะเปื้อนสารคัดหลั่งได้ ก็สามารถเช็คทำความสะอาดก่อนใช้บริการ
- ผู้ให้บริการซักผ้า ที่อาจจะมีการเปรอะเปื้อนสารคัดหลั่งต่าง ๆ แนะนำให้สวมถุงมือป้องกัน ซึ่งน้ำยาซักผ้าธรรมดาสามารถฆ่าเชื้อชนิดนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำยาฆ่าเชื้อเพิ่มเติมแต่อย่างใด