KEY :
- นายกฯ ชี้แจงอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ อธิบายความสำเร็จ การแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลทำมาอย่างต่อเนื่อง ชัดเจนยืนยันได้ด้วยตัวเลข
- การอภิปรายครั้งนี้ คณะรัฐมนตรีพร้อมให้ความกระจ่าง ตอบในทุกประเด็น สิ่งสำคัญคือวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำรัฐบาล เป็นผู้นำประเทศ
- ขอให้บรรยากาศการอภิปรายเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ขอให้ให้เกียรติกันด้วยคำพูด
วันนี้ (วันที่ 19 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (19 กรกฎาคม 2565) เวลา 11.05 น. ณ ห้องประชุมพระสุริยัน ชั้น 2 อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
โดยได้ชี้แจงว่า วันนี้เป็นโอกาสดีที่ได้มาพบกัน ช่วยกันขบคิด ถกแถลง ทำหน้าที่ตนให้ดีที่สุด ทั้งฝ่ายบริหาร และนิติบัญญัติ วันนี้ในประเทศมีปัญหามากมาย แต่รัฐบาลก็ได้แก้ปัญหาไปด้วยแล้ว ทั้งนี้ คนในชาติจำเป็นต้องละทิ้งทิฐิ นึกถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ความรักความสามัคคีจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งสิ้น
อาทิเช่น เรื่องของการจัดการโควิด – 19 อีกซักครู่รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจะมาชี้แจง โดย 2 ปีที่ผ่านมา เราแก้ปัญหาไปได้ด้วยดี ได้จัดตั้ง ศบค. ถือเป็นการทำงานแบบบูรณาการ ไทยแก้ปัญหาได้ดี เป็นตัวอย่างที่ดีให้หลายประเทศ เพราะความร่วมมือ การบูรณาการ และการเสียสละของทุกคน เป็นแบบอย่าง ได้รับการจัดอันดับที่ดีในโลก ประเทศไทยเปิดประเทศได้มากขึ้นตามลำดับ ระบบเศรษฐกิจดีขึ้น โดยตัวเลขในด้านการท่องเที่ยวดีขึ้น จำนวนนักท่องเที่ยวจากครึ่งปีที่ผ่านมา 2.2 ล้านคน เกิดรายได้ 1.25 ล้านบาท ไทยเที่ยวไทย 67.8 ล้านคน มีเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจทุกระดับหลายรอบมากกว่า 4.3 แสนล้านบาท ถือเป็นผลงานของรัฐบาล
ในการอภิปรายครั้งนี้ คณะรัฐมนตรีพร้อมให้ความกระจ่าง ตอบในทุกประเด็น สิ่งสำคัญคือวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำรัฐบาล เป็นผู้นำประเทศ ในส่วนเวทีต่างประเทศที่ได้รับการกล่าวหา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ชี้แจง โดยนายกรัฐมนตรีคิดว่าตัวเองไม่ได้ด้อยค่าไปกว่าอดีตนายกรัฐมนตรีท่านอื่น
บริหารประเทศ 3 เรื่องสำคัญ
ในปี 2524 ยุคโชติช่วงชัชวาล ประเทศไทยค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย นิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือน้ำลึก โครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ต่อมาปี 2531 ไทยขับเคลื่อนด้วยนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก เปลี่ยนจาก Analogue สู่ Digital เป็นต้น เป็นยุคที่ไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่น่าเสียดาย เพราะไม่มีนโยบายที่โดดเด่นมากพอ ไม่สามารถฝ่าวิกฤตได้หลายครั้ง 10 กว่าปีมาแล้วที่มีความขัดแย้ง ขอให้ย้อนกลับไปดูว่าปัญหาเกิดจากอะไร แม้จะมีอุดมการณ์การเมืองที่แตกต่าง แต่จะต้องให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย
เมื่อนายกรัฐมนตรีเข้ามาบริหารประเทศ 3 เรื่องสำคัญ ที่ต้องการพลิกโฉมประเทศไทย คือสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ผลักดันยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ปฏิรูปในทุกมิติ เพื่อเป็นแผนที่นำทาง เป็น Roadmap ในการพัฒนาประเทศ และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ให้เป็นนโยบายนำ เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
รวมไปถึงการวิจัยและพัฒนา มีการส่งเสริม 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เพื่อให้เป็นพื้นที่การลงทุนใหม่ ๆ บ่มเพาะทรัพยากรมนุษย์ยุคใหม่ ๆ และเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนความเจริญประเทศในระยะต่อไป คือวิสัยทัศน์ที่ได้กำหนดไว้ และยังมีโครงการลงทุนอีกมากในอนาคต ซึ่งมีความมุ่งหมายว่าอีก 2 ปี จะผลิดอกออกผลออกมา ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะอยู่ในตำแหน่งอีก 2 ปี ตามที่ฝ่ายค้านกล่าว
หลักการ 3ดี หลักการดี พูดด้วยวิชาการ หลักเหตุผล ข้อมูลดี นำเสนอด้วยข้อมูลจริง และน้ำใจดี มีน้ำใจต่อกัน ไม่อาจกล่าวอ้างว่า นายกรัฐมนตรีดีที่สุด เก่งที่สุด แต่ยืนยันว่าหลายอย่างที่พูดมาไม่ใช่ข้อเท็จจริง หลายเรื่องที่พูดมา ขอให้ดูสิ่งที่ทำไปแล้ว ดูข้อเท็จจริง ใช้กลไกทหาร และ พรก.ฉุกเฉิน เท่าที่จำเป็น กลไก สมช. เป็นกลไกเดิมที่มีอยู่แล้ว กลไกทั้งหมดที่ตั้งมา เช่น ศบค. มีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องครอบคลุม
ชี้แจงประเด็นข้าวของแพง
นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงประเด็นเรื่องข้าวของแพง ปัญหาเศรษฐกิจ โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมเปิดฟังข้อเสนอของทุกฝ่าย โดยขณะนี้รัฐบาลมีการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ทั้งการแก้ปัญหาความยากจน แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน หนี้ครู หนี้ กยศ. และอีกมากมาย ซึ่งจากที่เรียบเรียงมา มีการใช้จ่ายเงินไปพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องการดูแลพี่น้องประชาชนกว่า 50 ล้านคน ที่ได้รับเงินจากโครงการต่าง ๆ ไป ในส่วนปัญหาเศรษฐกิจ บางส่วนมีปัญหา บางส่วนก็ดีขึ้นในขณะนี้
โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รายงานว่าราคาพืชผลเกษตรดีขึ้นเกือบทุกตัวไม่ว่าจะเป็นอ้อย มันสำปะหลัง ยาง ปาล์ม และข้าวโพด เกษตรกรมีความพอใจ แต่สิ่งที่ยังไม่ดีขึ้นก็ต้องไปแก้ไขที่ต้นทาง ดูแลเรื่องต้นทางการผลิต ทั้งเรื่องเทคโนโลยี รวมแปลง จัดหาปุ๋ยที่มีคุณภาพ การจดทะเบียน ขึ้นทะเบียนต่าง ๆ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาแบบที่ไม่เคยได้ยินรัฐบาลไหนพูดถึงมาก่อนเลย แต่รัฐบาลนี้ทำ
ส่วนของการกู้เต็มเพดาน ประชาชนได้ประโยชน์ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งหมด 55 ล้านบัญชี นายกรัฐมนตรียืนยัน ไม่ได้เป็นการให้เพื่อซื้อเสียง แต่ให้เฉพาะกลุ่มคนที่มีปัญหา เพื่อให้ประชาชนอยู่รอด พัฒนาสู่ความพอเพียงและความยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการของรัฐบาล ดูแลไม่ให้ป่วย ไม่ให้เสียชีวิต ทั้งวัคซีน โรงพยาบาลสนาม และอื่น ๆ อีกมากมายถึง 1.5 แสนล้านบาท และอาจจะมากกว่านั้น เพราะยังคงมีการแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้
ขอให้การอภิปราย ควรให้เกียรติกัน
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทั้งหมดที่ได้ฟังการอภิปรายมาไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด และไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งนายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องชี้แจง ทั้งนี้ ขอให้บรรยากาศการอภิปรายเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ขอให้ให้เกียรติกันด้วยคำพูด ถ้าอยากได้รับเกียรติจากคนอื่น ก็ต้องรู้จักการให้เกียรติคนอื่นก่อน ไม่ใช่การโจมตีในลักษณะให้ร้าย พูดจาส่อเสียด ซึ่งไม่ควรมีในสภาฯ แห่งนี้ ซึ่งตัวนายกรัฐมนตรีเองให้เกียรติสภาฯ ให้เกียรติประธานสภาฯ และให้เกียรติสมาชิกทุกคน
รวมทั้งในปัจจุบันนี้หลายอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี หลายอย่างกำลังทำ และหลายอย่างกำลังแก้ไข ดังเช่นกรณีที่ สมช. ตั้งคณะทำงานขึ้นมาทำงานด้านเศรษฐกิจ และถูกกล่าวหาว่าส่วนใหญ่มีตำแหน่งทหารจำนวนมากในคณะทำงาน ซึ่งข้อเท็จจริงไม่ใช่ ขอให้ไปดูจำนวนคนทำงาน และการทำงานดังกล่าวก็เพื่อดูแลความมั่นคงและดูแลภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ รวมทั้งมีหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์ในการดูแลสถานการณ์ที่มีความมั่นคงมาเกี่ยวข้อง