นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการเสนอรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่3 ในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ ต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเป็นการจัดขึ้นทุก4 ปีครึ่ง สำหรับครั้งนี้ ผู้แทนของประเทศไทยจะประกาศ “คำมั่นโดยสมัครใจ” เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของรัฐบาล สรุปได้ดังนี้
- ปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งรวมถึงอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ
- ศึกษาความเป็นไปได้ของการเข้าเป็นภาคีตราสารระหว่างประเทศเพิ่มเติม รวมทั้งอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 189 ว่าด้วยงานที่มีคุณค่าสำหรับแรงงานทำงานบ้าน
- จัดทำรายงานระยะกลางเพื่อรายงานความคืบหน้าของการปฎิบัติตามข้อเสนอแนะที่ได้รับ รวมทั้งหารือกับภาคส่วนต่างๆอย่างต่อเนื่อง ในประเด็นตามข้อเสนอแนะที่ไทยไม่ได้ตอบรับ
- เสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขและหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศและพหุภาคีเพื่อการเตรียมความพร้อมและการรับมือกับโรคระบาด
- ร่วมมือในการขจัดความไร้รัฐและส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของกลุ่มคนไร้รัฐไร้สัญชาติ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การคุ้มครองทางสังคม การเข้าถึงบริการในการจดทะเบียนเกิดและทะเบียนราษฏรของคนไร้รัฐไร้สัญชาติ และการพิจารณาให้สัญชาติและสิทธิความเป็นพลเมือง
- เร่งส่งเสริมสิทธิมนุษยชนศึกษาและการสร้างความรู้ตระหนักรู้ด้านสิทธิมนุษยชนให้กับทุกภาคส่วน
- พิจารณาแนวทางส่งเสริมมาตรการบังคับสำหรับภาคธุรกิจในการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน
- ยืนยันการประกาศ standing invitation ต่อกลไกพิเศษของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
มากไปกว่านั้น ประเทศไทยจะตอบรับข้อเสนอแนะ ซึ่งประกอบด้วย 1) ข้อเสนอแนะที่เคยรับไว้แล้วในรอบที่ 1 (ปี2554) และรอบที่ 2 (ปี2559) 2) ข้อเสนอแนะที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและการดำเนินงานในปัจจุบัน เช่น การป้องกันและปราปปรามการทุจริต การแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ 3) ข้อเสนอแนะที่เป็นค่านิยมเชิงหลักการที่ไทยยึดถือและปฏิบัติมาตลอด เช่น ความเท่าเทียมทางเพศการไม่เลือกปฏิบัติ 4) ข้อเสนอแนะที่ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของโครงสร้างสิทธิมนุษยชนในประเทศ และ 5) ข้อเสนอแนะที่หน่วยงานมีความพร้อมที่จะรับดำเนินการ เช่น การเพิ่มมาตรการและการสนับสนุนการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน การศึกษาและจัดอบรมเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับการบังคับใช้ กฎหมายป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน (Anti-SLAPP Law) /ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 161 / 1 หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
“รัฐบาลมุ่งมั่นให้ความร่วมมือกับนานาประเทศ แนวทางในการประกาศคำมั่นโดยสมัครใจและการพิจารณาตอบรับข้อเสนอแนะ ได้คำนึงถึงความสอดคล้องกับกรอบแนวทางการพัฒนาประเทศ ค่านิยมเชิงหลักการของสังคม และความพร้อมในการดำเนินการของหน่วยงาน ซึ่งสะท้อนการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ” นางสาวรัชดา กล่าว