นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการประชุมสามัญประจำปี ที่จังหวัดขอนแก่นว่า ถือเป็นโอกาสที่จะได้จัดทัพในการต่อสู้กับการเลือกตั้งที่จะมาถึง การลงมาในภาคอีสานต้องการที่จะมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน และเห็นช่วงที่ชาวนากำลังลำบาก สินค้าเกษตรมีราคาตกต่ำ เกิดภาวะน้ำท่วมซ้ำซากและหลังจากนี้ก็จะเกิดภาวะแล้งซ้ำซาก ซึ่งพรรคก้าวไกลก็อยากอยู่ใกล้กับประชาชนในยามลำบาก เพื่อนำปัญหาไปสะท้อนในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่จะเปิดในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เพื่อนำไปสู่การจัดทำนโยบายสู้ศึกเลือกตั้งในอนาคต
ส่วนมั่นใจหรือไม่ว่าการประกาศปักธงภาคอีสานจะสามารถครองพื้นที่ และจะรักษาเก้าอี้ไว้ได้ นายพิธา กล่าวว่า ทุกเขตมีความสำคัญและต้องสู้กันด้วยใจ ซึ่งภาคอีสานมีอยู่ 116 เขต ตนก็ตั้งใจว่าจะลงให้ครบทุกเขต ส่วนจะเป็นเขตยุทธศาสตร์หรือไม่ ต้องใช้หัวคิด และทำงานกันด้วยใจ พร้อมย้ำว่าจะหาผู้สมัครลงชิงตำแหน่งให้ครบทุกเขต
ทั้งนี้นายพิธา ยังกล่าวถึง อดีตส.ส.เขต 1 จ.ขอนแก่น ที่เป็นงูเห่าย้ายพรรค ว่า การที่เลือกใช้พื้นที่ขอนแก่นในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรค ตั้งใจมาทวงคืนผู้แทนราษฎรของคนขอนแก่นเขต 1 รวมไปถึงเป็นการเปิดประตูสู่ภาคอีสานของพรรคก้าวไกล โดยว่าที่ผู้สมัครคนใหม่คือ นายวีรนันท์ ฮวดศรี ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีการพิสูจน์ตนเองมาหลาย 10 ปี โดย ผ่านกระบวนการคัดสรรจากแกนนำพรรคหลายท่านรวมถึงตนด้วย ดังนั้นการชูผู้สมัครที่ใหม่กว่าชัดเจนกว่า โดนกว่าเพื่อทวงคืนพื้นที่ขอนแก่นเขต 1 เหมือนที่อดีตพรรคอนาคตใหม่ได้ทำไว้ให้ได้
ส่วนจะคาดหวังพื้นที่จังหวัดใดในภาคอีสานบ้างนั้น นายพิธา ย้ำว่า หวังทุกเขต ทุกจังหวัด แต่หากดูผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ก็จะสามารถคาดเดาได้ว่าจะได้พื้นที่ใดเพิ่ม พร้อมยืนยันว่า แม้จะต้องสู้กับพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ไม่หนักใจ เพราะถือเป็นปกติในระบอบประชาธิปไตย การแข่งขันเป็นเรื่องดี ประชาชนได้ประโยชน์ มีทางเลือกว่าใครจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาได้ดีกว่ากัน
ขณะที่การทำไพรมารี 400 เขต จะเป็นอุปสรรคต่อการเลือกตั้งหรือไม่นั้น นายพิธา ระบุว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล เป็นผู้อำนวยการ เลือกตั้งและมีคณะกรรมการประสานงานในการทำงานเรื่องนี้ ซึ่งต้องมีการพูดคุยกันก่อน ส่วนแนวทางจะเป็นอย่างไรนั้นต้องมีการหารืออีกครั้งหนึ่ง
ส่วนระบบเลือกตั้งบัตร 2 ใบนั้น ยืนยันว่านายพิธายืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นกติกาใดก็ต้องพร้อม หากจะเป็นแบบบัตร 2 ใบก็ต้องปรับทีมยุทธศาสตร์ ลงพื้นที่พบประชาชนให้มากขึ้น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลใจ
” สักวันหนึ่งเราต้องเป็นพรรคใหญ่ ตอนนี้เราอาจเป็นพรรคขนาดกลาง แต่เราฝันว่าสักวันเราจะต้องเป็นพักใหญ่ ดังนั้นกติกาที่คิดว่าจะได้ประโยชน์กับเขา ตอนนั้น ถึงเวลาอาจจะได้ประโยชน์กับเราก็ได้”
ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอแก้ไขมาตรา 34 ของพรบ.เลือกตั้งท้องถิ่น เพื่อที่จะเปิดทางให้พรรคการเมืองเข้าไปช่วยเลือกตั้งท้องถิ่นได้นั้น นายพิธา ระบุว่า ตนยังไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ แต่ยอมรับว่าการทำงานท้องถิ่นกับการทำงานของนิติบัญญัติ ต้องทำไปควบคู่กัน ต้องมีการกระจายอำนาจ กระจายงบประมาณ แต่ถึงขั้นว่าจะต้องลงไปช่วยหาเสียง จะต้องมีการหารือกันก่อน
ทั้งนี้นายพิธา ยังกล่าวถึง กรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่าจะไม่ยุบสภา แต่มีการเดินหน้าลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และพรรคร่วมรัฐบาลก็มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.สแล้วในขณะนี้ ว่า ตนคิดว่าคนเราเวลาอะไรทิ่มแทงใจ ก็มักจะพูดออกมา ในลักษณะที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ซึ่งเป็นสัญญาณตรงกันข้ามกับสิ่งที่จะทำมาโดยตลอด ก่อนย้อนถามกลับว่านายกรัฐมนตรีคนนี้ไม่ใช่หรือที่เรียนว่าจะไม่กระทำการรัฐประหาร ก่อนที่จะหัวเราะในลำคอ ดังนั้นไม่ว่าใครจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของพรรคเขา แต่พรรคก้าวไกล เตรียมความพร้อมในทุกเวลา ทุกมิติและทุกสนามนี่คือสิ่งที่ทำได้และควรจะทำตั้งนานแล้ว