วันนี้ 3 ต.ค. 64 นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลมีความขัดแย้งเรื่องใหม่ภายในกระทรวงเกษตร ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างพรรคพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ จากมติครม. ที่มอบให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีคุม 4 กรมของกระทรวงเกษตร ซึ่งเดิมร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรมช.เกษตรฯ ดูแลอยู่ ทั้งที่กระทรวงเกษตรฯ อำนาจการดูแลขึ้นอยู่กับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นรองนายกฯ ที่คุมกระทรวงเกษตร จึงถือเป็นปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในรัฐบาล เพราะเรื่องนี้ประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเสียหน้า
“ถ้าผมเป็นนายกฯ หรือเป็นลุงป้อม มันจะไปยากอะไรก็ปรับครม. ถ้าบอกว่า 4 กรมนี้เป็นโควต้าก็เอาใครมานั่งแทนสิ ผมถึงบอกว่าความขัดแย้งรัฐบาลไม่จบ ที่ลุงป้อมมาเอา 4 กรมนี้คืน ผมก็ไม่เชื่อว่าท่านจะมาเอง แต่ผมว่าผู้กองธรรมนัสจะมาเป็นรัฐมนตรีเงา ผมเรียกร้องเลยการประชุมครม ที่จะมาถึง ลุงป้อมต้องไปเอาอีกหน่วยงานหนึ่ง เอาคืนไป4 กรมที่ท่านธรรมนัสเคยดูแล ต้องฝากลุงป้อมว่าต้องไปเอาอีกหน่วยงานหนึ่งคืนให้นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ คือกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ไม่เช่นนั้นอาจารย์แหม่มยังร้องไห้ไม่หยุด เพราะถูกยึดไปและตอนนี้ไม่มีงานทำ”นายยุทธพงศ์ กล่าว
นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาล จะเห็นว่าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้ชูนายจุรินทร์ มาแข่งกับนายกฯแล้ว แต่พล.อ.ประวิตร ออกมาระบุยังไม่ปรับครม. ตนจึงงงว่าอำนาจการปรับครม.เป็นของพล.อ.ประวิตร หรือพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคร่วมที่มีเสียงกว่า 50 เสียง วันนี้จึงบอกเลยว่าถ้าเปิดสภามีกฎหมายการเงินต่างๆเข้า กลุ่มกบฏของผู้กองธรรมนัสกว่า 40 คนและประชาธิปัตย์ 50 กว่าเสียงถ้าถอนตัวจากรัฐบาลล้มทันที เพราะอย่าลืมว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาคนที่ได้คะแนนมากที่สุดคือนายเฉลิมชัย อีกทั้งขณะนี้มีสัญญาณจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ที่ทำหนังสือด่วนแจ้งไปยังหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรคการเมือง เรื่องเตรียมความในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้เป็นการสะท้อนเสถียรภาพรัฐบาลไม่ดีและปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐลุกลาม ไม่ได้หยุดแบบที่บิ๊กตู่และบิ๊กป้อมยืนยันว่ายังรักกันดี ซึ่งจากความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล แสดงให้เห็นว่าภาวะทางการเมืองช่วงนี้วิกฤตแล้ว ดังนั้นการยุบสภาก็จะเกิดขึ้นอีกไม่นานอย่างที่เคยวิเคราะห์ไว้