คัดลอก URL แล้ว
“จิรายุ” บุกเขื่อนเจ้าพระยาโวยรัฐบาล-กทม. อย่ามัวแต่สวดมนต์ไล่น้ำเตือนคนกรุงรับมือน้ำ

“จิรายุ” บุกเขื่อนเจ้าพระยาโวยรัฐบาล-กทม. อย่ามัวแต่สวดมนต์ไล่น้ำเตือนคนกรุงรับมือน้ำ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาลองค์กรอิสระฯรัฐวิสาหกิจฯพร้อมด้วยคณะกรรมาธิการลงพื้นที่ตรวจสอบ สถานการณ์น้ำและความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานน้ำของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท โดยพบว่าน้ำที่ทยอยไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยามีระดับน้ำใกล้เคียงกันมากทั้งสองฝั่งอย่างน่ากังวลใจ

โดยที่แนวกั้นน้ำพบว่าระดับน้ำเหนือเขื่อนกับท้ายเขื่อนห่างกันเพียงแค่ระดับ 1 เมตรกว่าเท่านั้นซึ่ง จากการสอบถาม นายวรพจน์ วรพงษ์ ผู้อำนวยการ เขื่อนภูมิพล ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ที่รับผิดชอบพื้นที่เขื่อน จังหวัดชัยนาท ระบุว่าถ้าเปรียบเทียบกับน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 อาจจะไม่เท่ากันแต่ปีนี้ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ต้องระมัดระวังและสุ่มเสี่ยงโดยระบุว่าน้ำจำนวนมากจากหลังเขื่อนชัยนาทน่าจะวิ่งเข้าสู่จังหวัดปทุมธานีกรุงเทพมหานครและสมุทรปราการไม่เกิน 20 กว่าวันข้างหน้านี้ ซึ่งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลควรเตรียมรับมือเสียแต่เนิ่นๆ

นายจิรายุ กล่าว ต่อไปว่า ปี 54 มีน้องน้ำ 24,000 ลบ.ม ปีนี้ประมาณ 12,000 ลบ.ม ซึ่งปัญหาของกรุงเทพมหานครนั่นก็คือไม่ได้ลอกท่อระบายน้ำหรือแหล่งน้ำอย่างเป็นรูปธรรมมากนักในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาน้ำเอ่อล้น และท่วมได้ แม้ปัญหาจะไม่เท่าปี 54 แต่ฟังจากผู้มีประสบการณ์ปีนี้ถือว่าไม่ปกติในรอบ 10 ปีนี้แน่นอน

ตนจึงขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลสั่งการให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ควรรีบดำเนินการ ตั้งศูนย์รับมืออย่าปล่อยให้ประชาชนต้องรับมือกับมวลน้องน้ำกันตามยถากรรม

ทั้งนี้ตนจึงขอเตือนพี่น้องประชาชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อย่าได้ไว้วางใจหรือรอคอยศูนย์บริหารน้ำของกรุงเทพมหานครหรือรัฐบาล ควรติดตามมวลน้ำที่จะเริ่ม ทยอยไหลมาถึง และวางแผนเสียแต่เนิ่นๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น รัฐบาลและกรุงเทพมหานครต้องตั้งศูนย์ รับมือ เพื่อแจ้งข่าวสาร ให้พี่น้องประชาชนให้ทราบเป็นระยะๆ ถึง

สถานการณ์น้ำในอีก 20 วันข้างหน้านี้ได้แล้ว ว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน ควรหยุดพูดถึง นโยบาย เช่นควรปลูกบ้านสูง หรือควรสวดมนต์ไล่น้ำ ไว้ก่อน แต่ควรเตรียมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะส่วนราชการที่มีกำลัง อุปกรณ์และยานพาหนะ ซึ่งผู้นำต้องวางแผนสั่งการ เมื่อจบสถานการณ์ค่อยมากำหนดการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งหากทำระบบแก้ปัญหาน้ำท่วม ด้วยการเชื่อมลำน้ำสำคัญ หรือทำเขื่อนป้องกันน้ำท่วมในทะเล ตั้งแต่ 10 ปีที่ รัฐบาล นายกฯยิ่งลักษณ์ วางแผน วันนี้น้ำท่วมซ้ำซากคงไม่เกิด


ข่าวที่เกี่ยวข้อง