ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (17 ส.ค.) ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีดำ 321/2564 ที่ นายอนัตต์ณังธะโคตร ญาณ์ธนโชติ , นางณัฐ์ชญาดา ณสิริ ,นายกวีวัฒน์ เงินทอง,น.ส.จิราภรณ์ ดำจูด,นายสรรเสริญ พุทธสวัสดิ์,นายวุฑฒิกร พิมาย,นายแก้ว แซ่หลี,นายอรรถพล ศรีแก้วณวรรณ,นางสุภัคชา ก้อนคำ,นางฐิติรัตน์ ไชยหงษ์,นายอนุวงศ์ นิวาส ,นายบุญสงค์ ก่ำรัมย์ โจทก์รวม 12 คน ยื่นฟ้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในคดีความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ (ชั้นตรวจฟ้อง)
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 14 -22 ต.ค. 2563 จำเลยกับคณะรัฐมนตรี ได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร โดยอ้างว่ามีบุคคลหลายกลุ่มได้เชิญชวนปลุกระดม และดำเนินการให้มีการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย และความไม่สงบเรียบร้อยของประชาชน มีการกระทำที่กระทบต่อขบวนเสด็จพระราชดำเนิน มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำที่มีความรุนแรงกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล อันมิใช่การชุมนุมโดยสงบที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ทั้งยังกระทบโดยตรงต่อสัมฤทธิผลของ มาตรการควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งความจริงแล้ว การชุมนุมของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มิได้เกิดความรุนแรงกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ มิได้เกิดความรุนแรง จึงไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนและร้ายแรงที่จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การออกประกาศดังกล่าวเพื่อให้โจทก์และประชาชนทั่วไปที่เข้าร่วมชุมนุมกระทำความผิด ล่วงละเมิดต่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร เหตุเกิดที่แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,116
ซึ่งศาลชั้นต้นพิจารณาฟ้องของโจทก์แล้ววินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่ใช่การกระทำที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ที่โจทก์ตั้งเป็นข้อหาและขอให้ลงโทษ จึงพิพากษายกฟ้อง ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ต.ค.2563 โจทก์ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ที่จำเลยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 และมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งให้อำนาจแก่จำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรีที่จะมีประกาศเช่นนั้นได้ หากปรากฏเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำที่มีความรุนแรงกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยในชีวิต หรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล จึงมิได้เป็นการกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวิธีอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ ส่วนจะมีเหตุให้จำเลยมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามที่กล่าวอ้างหรือไม่นั้น เป็นความชอบด้วยกฎหมายในการมีประกาศดังกล่าวซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก และพระราชกำหนดดังกล่าวก็มีเจตนาเพื่อให้มีการแก้ไขเหตุการณ์ที่
เกิดขึ้นให้ยุติลงได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที มิใช่มีความมุ่งหมายเพื่อให้ประชาชนทั่วไปหรือโจทก์ทั้ง 12 คนล่วงละเมิดประกาศดังกล่าวแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน