ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดถี่มากขึ้นและรุนแรงขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า โลกกำลังเผชิญวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างหนัก และอาจใกล้จะเอาไม่อยู่แล้ว
คณะกรรมการของสหประชาชาติด้านความร่วมมือระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก หรือ ไอพีซีซี ออกมาเตือนว่า ปัญหาโลกร้อนกำลังใกล้จะเกินควบคุมแล้ว และชัดเจนว่ามนุษย์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
รายงานของไอพีซีซี ระบุว่า ตอนนี้ระดับก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศอยู่ในระดับสูงมากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศครั้งใหญ่ในช่วงไม่กี่ทศวรรษ หรือหมายความว่าจะเกิดคลื่นความร้อนหนักสุดขีด เกิดเฮอริเคนขนาดมหึมา และภาวะอากาศแบบรุนแรงสุดขั้วที่รุนแรงมากกว่าที่เคยเป็นมา
อย่างที่เห็นว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกิดไฟป่าในกรีซที่เผชิญกับคลื่นความร้อนครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบสามทศวรรษ ซึ่งไฟได้เผาทำลายหลายพื้นที่ของประเทศ ขณะเดียวกันก็เกิดไฟป่าในตุรกี ที่สร้างความเสียหายให้พื้นที่ป่าจำนวนมาก มีผู้เสียชีวิตแล้ว 8 ราย และทำให้อีกชาวกรีซหลายพันคนและนักท่องเที่ยวต้องอพยพหนีตาย
ส่วนที่แคลิฟอร์เนียของสหรัฐก็กำลังเผชิญกับไฟป่าอย่างหนัก แค่วันจันทร์วันเดียว ไฟป่ากินพื้นที่ไปแล้ว 5 แสนเอเคอร์ ส่วนนักท่องเที่ยวในเวนิซของอิตาลีต้องเดินลุยน้ำในจตุรัสเซนส์มาร์ก เพราะน้ำท่วม
ไอพีซีซี ระบุว่า หากไม่ดำเนินมาตรการใดๆอย่างรวดเร็วทันทีและกว้างขวางเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกก็จะพุ่งขึ้นเกินเพดาน 1.5 องศาเซลเซียสในอีก 20 ปีข้างหน้า ซึ่งเร็วกว่าคาดการณ์เดิม 10 ปี
“นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส” เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ระบุว่า รายงานนี้คือ code red รหัสแดง รหัสฉุกเฉิน สำหรับมนุษยชาติ และควรเป็นสัญญาณเตือนถึงหายนะและอันตรายของการใช้ถ่านหินหรือเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่ทำลายโลก
ส่วน “เกรตา ทุนเบิร์ก” นักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า วิธีเดียวที่จะป้องกันไม่ให้เกิดภาวะต่างๆ เหล่านี้ คือการกลับไปดูที่ต้นตอของปัญหา