- นักเขียนสาว Jen Craven ลองตั้งเป้าให้ตัวเอง ด้วยการไม่ช้อปปิ้งเป็นเวลา1ปี แต่นั่นทำให้เธอได้เรียนรู้สิ่งอื่นๆ ตามมา
- เธอค้นพบว่า การช้อปปิ้ง เป็นเรื่องของอารมณ์ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในอารมณ์เบื่อหน่าย
- การลองตั้งเป้าแล้วลงมือทำอะไรสักอย่าง มันกลายเป็นชาเลนจ์ที่สนุกและท้าทายให้กับตัวเองได้ และระหว่างทางยังได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ได้อีกด้วย
เรื่องราวของหญิงสาวนักเขียน Jen Craven ที่เธอได้เขียนเล่าเรื่องราวภาระกิจเล็กๆ ที่เธอได้ลองทำดู แล้วพบว่านอกเหนือจากความตั้งใจในการที่จะลงมือทำอะไรสักอย่าง โดยที่เราตั้งเป้าเอาไว้แล้ว ระหว่างทางเรายังได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ได้อีกด้วย
“ฉันท้าทายตัวเองด้วยการไม่ช้อปปิ้งเสื้อผ้าใหม่ รวมทั้งเครื่องประดับต่างๆ หรือของฟุ่มเฟือยสำหรับตัวเอง เป็นเวลา 365วัน”
ทีแรกฉันก็สงสัยว่าจะสามารถอดใจได้ไหม หากทั้งปีจะไม่ได้ซื้อของใช้ใหม่ๆเลย ความคิดนี้เริ่มขึ้นเมื่อฉันมองเห็นเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าโดยที่บางตัวยังมีป้ายติดอยู่เลย
สิ่งหนึ่งที่ไม่แปลกใจเลยสำหรับตัวฉันเองคือ ฉันรักการช้อปปิ้ง ฉันเป็นคนรักแฟชั่น ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ฉันชอบและรักที่จะได้แต่งตัว รักในสไตล์การแต่งตัวของตัวเอง และฉันก็ไม่เคยคิดว่านี่เป็นปัญหาหรือเรื่องแปลกอะไรเลย ที่เราจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ 2-3ชิ้นต่อเดือน
แต่ในขณะที่กำลังมองตู้เสื้อผ้าของตัวเอง เลยทำให้ฉันค้นพบว่า ยังมีสิ่งของที่ยังใช้ได้อีกนานหลายเดือนเชียวล่ะในตู้ใบนี้ เผลอๆอาจจะเป็นปี ก็เลยปิ้งไอเดียว่า ถ้าใน 365 วันนี้ฉันไม่ซื้อของใช้ เสื้อผ้าและเครื่องประดับใดๆเพิ่มอีกเลย จะเป็นยังไง
หลังจากนั้นฉันก็โพสต์แผนการนี้ลงบนโซเชียลมีเดีย และประกาศให้ทุกคนได้รับรู้แล้ว แต่ในตอนนั้นเองที่ฉันเองก็เริ่มคิดว่าจะทำได้ไหมนะ หนึ่งปีนี้จะยาวนานแค่ไหนกัน เอาล่ะก็ในเมื่อพูดไปแล้ว ก็คงต้องลงมือทำ
ใน1-2เดือนแรก มันง่ายมากที่จะตัดใจไม่ช้อปปิ้ง ฉันอาศัยอยู่นอกเมืองอยู่แล้ว ก็เลยไม่ค่อยมีแหล่งช้อปปิ้งมากเท่าไหร่ให้ล่อตาล่อใจ
แต่ที่สุดแล้ว อย่าลืมว่าเราอยู่ในศตวรรษที่ 21 ที่การช้อปปิ้งไม่มีขอบเขต เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแค่หยิบโทรศัทพ์ขึ้นมาก็ช้อปได้ทุกอย่างที่ต้องการ ในช่วงแรกมันค่อนข้างยากเหมือนกัน เพราะมีโฆษณาสินค้าน่ารักๆที่ฉันอยากได้โผล่ขึ้นมาเต็มไปหมด แต่ฉันก็ต้องตัดใจและเลื่อนผ่านไปหรือไม่ก็วางโทรศัทพ์ลงซะ และเมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็ได้เห็นโฆษณาเหล่านั้นน้อยลงเรื่อยๆ
หลังจากผ่านมา 6 เดือน ฉันยังคงทำตามภาระกิจนี้ แต่ยกเว้นถุงเท้าวิ่ง1คู่ ที่มันค่อนข้างจำเป็น และไม่ใช่สินค้าแฟชั่น แค่นี้ก็รู้สึกภูมิใจมากๆแล้ว ว่าที่ผ่านมาครึ่งปีไม่ได้ใช้เงินช้อปปิ้งอย่างฟุ่มเฟือยเลย
และแล้ววันแห่งการทดสอบก็มาถึง เมื่อฉันต้องไปงานแต่งงานลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งปกติแล้วฉันจะต้องไปซื้อชุดใหม่สำหรับโอกาสนี้ และการสวมชุดซ้ำไปงานก็เคยเป็นความคิดที่ฉันรู้สึกว่า ไม่มีทาง! แต่สุดท้ายแล้ว ฉันก็ตัดใจเลือกสวมชุดเดรสจากตู้เสื้อผ้าแทน ไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าทำได้ แถมยังประหยัดเงินไปได้เยอะเลย
ผ่านไป 9 เดือนแล้ว ฉันยังคงหยิบของเดิมๆมาใช้เรื่อยๆ และเริ่มมีความสุขและสนุกกับการหยิบเสื้อผ้าในตู้มาปรับให้เป็นสไตล์ในแบบที่ฉันชอบ และในตอนนั้นเองที่ฉันคิดขึ้นมาได้ว่า ความรู้สึกอยากได้มันลดหายไปเยอะ
เมื่อเราหยุดช้อปปิ้งไปนานๆเข้า ความรู้สึกอยากได้ก็ลดหายไปเยอะเลย
ความรู้สึกของฉันหลังจากก้าวเท้าเดินหน้าสู่เป้าหมายนี้ มันผ่านไปค่อนข้างเร็ว ฉันคิดว่ามันง่ายกว่าที่กลัวไว้ในตอนแรกเสียอีก ฉันเลือกที่จะใช้เวลาทำอย่างอื่นอย่างที่ตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งอ่านหนังสือ หรือการมีส่วนร่วมกับครอบครัวมากขึ้น และแน่นอน สำหรับการเดินห้างฉันก็พยายามหลีกเลี่ยงเพราะมันคงยากเกินไปที่จะไปเดินเล่นแล้วไม่เสียเงิน
หลังจากทำภาระกิจนี้สำเร็จ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า การช้อปปิ้งของฉัน มันไม่ได้เกิดจากความอยากได้ หรือต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แต่มันมักเกิดขึ้นเมื่อฉันรู้สึกเบื่อ และนั่นส่งผลให้ใช้เงินเพราะอารมณ์
ทั้งหมดนี้ที่เรานำมาเล่าสู่กันฟัง เพราะมันดูเป็นเรื่องน่าสนุกและเปรียบเสมือนการที่เราวางเป้าหมายอะไรไว้ แล้วทำตามเป้าให้สำเร็จจนที่สุดให้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อได้ลองลงมือทำทำ เราก็พบว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้จริง และที่สำคัญคือมันสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการมีเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นและทำมันให้สำเร็จได้เช่นกัน…ไปลองทำกันดูนะคะ ไม่ว่าเรื่องอะไร แค่ลงมือทำเป้าหมายก็อยู่ไม่ไกลแล้วค่ะ
ที่มาข้อมูล huffpost. ภาพ jencravenauthor