วันที่ 15 กันยายน 2568 สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สภาเอสเอ็มอี) เสนอชุดมาตรการช่วยเหลือ SMEs ระยะสั้น 4 เดือน มูลค่ารวม 80,000 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่ผู้ประกอบการกำลังเผชิญ โดยนำแนวทางที่ประสบความสำเร็จจากสิงคโปร์ เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา มาปรับใช้กับบริบทของประเทศไทย
สถานการณ์วิกฤต รายได้ลด ต้นทุนพุ่ง
จากข้อมูลล่าสุด ณ ไตรมาส 2/2568 พบว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยกำลังเผชิญหน้ากับ “ภาวะต้นทุนบีบรายได้” อย่างรุนแรงโดยดัชนีรายได้ปรับตัวลดลง 1.11% ในขณะที่ดัชนีต้นทุนเพิ่มขึ้น 4.16% ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและความอยู่รอดของผู้ประกอบการจำนวนมาก
นายสุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สภาเอสเอ็มอี) กล่าวว่า “สถานการณ์ปัจจุบันกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและตรงจุด นอกจากปัญหาต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแล้ว เอสเอ็มอียังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานจากการที่แรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านลดน้อยลง ส่งผลให้ต้นทุนแรงงานพุ่งสูงขึ้น เราจึงศึกษาแนวทางจากประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น สิงคโปร์ที่มี Enterprise Support Package มูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ที่เพิ่ม New Start Fund เป็น 28.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับประเทศไทย”
3 เสาหลักแก้ปัญหาครบวงจร ที่สภาเอสเอ็มอีนำเสนอ ได้แก่
เสาหลักที่ 1 ลดภาระทางการเงิน (55,000 ล้านบาท)
• สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำฉุกเฉิน วงเงินสูงสุด 500,000 บาท ดอกเบี้ย 0.5% ปีแรก อนุมัติใน 5 วัน
• ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 50% สูงสุด 50,000 บาท
• เงินอุดหนุนค่าสาธารณูปโภค 60% สูงสุด 5,000 บาท/เดือน เป็นเวลา 3 เดือน
• ขยายระยะเวลาชำระหนี้สูงสุด 5 ปี
• ปรับรอบการจ่ายเงินของภาครัฐต่อกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้อยู่ภายใน 30-45 วันในทุกโครงการทั้งระบบ
เสาหลักที่ 2 ส่งเสริมการตลาด (15,000 ล้านบาท)
• จัดตั้งคณะกรรมการอีคอมเมิร์ซแห่งชาติและตั้งศูนย์อำนวยการด้านอีคอมเมิร์ซระดับจังหวัด
• แพลตฟอร์ม “ไทยช่วยไทย ช้อป SMEs” โดยยกเว้นค่าคอมมิชชั่น 4 เดือน โดยผลักดันให้มีตราสัญลักษณ์ที่แสดงว่าเป็นสินค้าไทยในแพลตฟอร์ม
• คูปองส่วนลด “SMEs Boost Up” รัฐสนับสนุน 100 บาท เมื่อซื้อครบ 200 บาท
• โปรแกรม “SMEs Ready to Export” สนับสนุนค่าส่งออกครั้งแรก 50%
เสาหลักที่ 3 ยกระดับทักษะและแก้ปัญหาแรงงาน (10,000 ล้านบาท)
• คูปอง “ดิจิทัลทูลคิท พลัส” มูลค่า 10,000 บาท รวมค่าใช้จ่ายในการใช้ AI
• หลักสูตร “SMEs AI โตไว” อบรมฟรีเน้นการใช้งาน AI ในการดำเนินธุรกิจ
• โครงการ “ทดแทนแรงงาน Smart SMEs” สนับสนุนเครื่องจักรอัตโนมัติและระบบ AI เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานต่างด้าว
• กองทุน “SMEs Innovation” สนับสนุนโครงการนวัตกรรม 500,000 บาท/โครงการ
• โครงการ “ยกระดับแรงงานไทย” (Upskill ThaiSMEs) อบรมทักษะเฉพาะทางให้แรงงานไทยทดแทนแรงงานต่างด้าว พร้อมเงินสนับสนุน 15,000 บาท/คน
กำหนดเป้าหมายชัดเจน ติดตามได้
มาตรการชุดนี้ตั้งเป้าในการช่วยเหลือ SMEs 100,000 ราย ด้วยมูลค่าสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท เพิ่มอัตราการอยู่รอด 15% และยกระดับทักษะแรงงานไทย 50,000 คน เพื่อทดแทนแรงงานต่างด้าวที่ลดน้อยลง ภายใน 4 เดือน พร้อมระบบติดตามแบบเรียลไทม์ผ่าน SMEs Support Dashboard
เรียกร้องรัฐบาลเร่งดำเนินการ
“ความสำเร็จของมาตรการนี้ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการอนุมัติและดำเนินการ สภาเอสเอ็มอีเสนอให้จัดตั้ง “ศูนย์บัญชาการ SMEs Support Center” ที่มีตัวแทนจากกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อประสานงานแบบเรียลไทม์” นอกจากนี้ สภาเอสเอ็มอียังเสนอให้พัฒนา Digital ID สำหรับ SMEs เพื่อลดขั้นตอนการขอรับความช่วยเหลือ โดยอาจนำโครงการ SMEs One ID ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) มาปรับปรุงให้มีขอบเขตการใช้งานกว้างขึ้น และจัดทำ SMEs Resilience Index เพื่อติดตามความแข็งแกร่งของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเปรียบเทียบกับระดับสากล
ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ
หากมาตรการนี้ได้รับการอนุมัติ คาดว่าจะช่วยรักษาการจ้างงานกว่า 2 ล้านคน เพิ่ม GDP ของภาค SMEs อย่างน้อย 3% ลดการพึ่งพาแรงงานต่างด้าว 30% ผ่านการยกระดับทักษะแรงงานไทยและการใช้เทคโนโลยี และสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้ SMEs ไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน
“มาตรการนี้ไม่เพียงแต่เป็น “ยาฉีดเร่งด่วน” เพื่อช่วยเหลือเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นการลงทุนในอนาคตของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI และการแปลงโฉมดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจอย่างรวดเร็ว” นายสุปรีย์ กล่าว