ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “ทนายตั้ม” เป็นหนึ่งในทนายความชื่อดังของประเทศไทยที่มักจะให้ความช่วยเหลือในคดีต่างๆ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับลูกความ ทนายตั้มเป็นที่รู้จักในฐานะทนายที่มีจุดยืนและชัดเจนในการปกป้องสิทธิของผู้ที่ต้องการความยุติธรรม
ประวัติทนายตั้ม
- ทนายตั้ม มีชื่อจริงว่า ษิทรา เบี้ยบังเกิด เกิดและเติบโตในจังหวัดสมุทรสาคร
- จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์และโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล
- สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโทด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเกริก
- ทนายตั้มเริ่มต้นเส้นทางในอาชีพทนายความในปี 2547 โดยเขามุ่งมั่นช่วยเหลือทางกฎหมายตามชุมชนต่างๆ และจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่เยาวชนเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในสังคมอย่างปลอดภัย
ในปี 2559 เขาและทีมงานได้ก่อตั้งมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนเพื่อเยาวชนและสังคม ซึ่งเป็นมูลนิธิที่มีพันธกิจเพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้กฎหมายและมีจิตสำนึกที่ดีในสังคม รวมถึงเป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิ์และต้องการความช่วยเหลือด้านกฎหมาย
ผลงานที่ทำให้เป็นที่รู้จัก
ทนายตั้มเคยมีบทบาทสำคัญในคดีหลายคดีที่เป็นข่าวดังในประเทศไทย เช่น คดีน้องจีโน่ที่ถูกวัยรุ่นใช้น้ำมันราดแล้วจุดไฟเผา คดีสองสามีภรรยาที่ถูกกล่าวหาว่าถูกตำรวจยัดข้อหายาเสพติด รวมถึงคดีหวย 30 ล้าน ที่เขาได้ช่วยเหลือ ร.ต.ท.จรูญ ต่อสู้ในชั้นศาล และคดีน้องชมพู่ซึ่งเป็นคดีที่มีความซับซ้อน นอกจากนี้ เขายังเคยเข้าไปมีบทบาทในการสืบสวนการเสียชีวิตของดาราสาว แตงโม นิดา แม้ว่าสุดท้ายจะต้องออกจากคดี แต่ทนายตั้มยังคงยืนยันจะค้นหาความจริงต่อไป
ล่าสุด ทนายตั้มยังคงได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและประชาชนในกรณีคดีฉ้อโกงเงินที่เกี่ยวข้องกับเจ๊อ้อย คดีนี้เป็นหนึ่งในคดีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปี 2567
ไทม์ไลน์คดีทนายตั้ม-เจ๊อ้อย: ข้อพิพาท 71 ล้านบาทที่เขย่าวงการกฎหมายไทย
คดีระหว่างทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” และนางจตุพร อุบลเลิศ หรือ “เจ๊อ้อย” เริ่มต้นขึ้นเมื่อเจ๊อ้อยกล่าวหาทนายตั้มว่ามีส่วนพัวพันกับการฉ้อโกงเงินจำนวน 71 ล้านบาท รวมถึงการฟอกเงินและการใช้เงินในธุรกิจที่มีความซับซ้อน โดยคดีนี้ได้กลายเป็นที่สนใจของสังคม เนื่องจากมีทั้งความซับซ้อนทางการเงินและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญ
ไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญในคดี
- 31 ตุลาคม 2567: เจ๊อ้อยให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจครั้งแรก โดยใช้เวลาสอบปากคำนานกว่า 23 ชั่วโมง เพื่ออธิบายรายละเอียดทางการเงินที่เกี่ยวข้อง
- 1 พฤศจิกายน 2567: เจ๊อ้อยกลับมาให้ปากคำเพิ่มเติม เนื่องจากคดีนี้มีความซับซ้อนที่ต้องการการชี้แจงในหลายประเด็น
- 3 พฤศจิกายน 2567: เจ๊อ้อยพบตำรวจเป็นครั้งที่สาม ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงิน 39 ล้านบาทที่อ้างว่าถูกนำไปใช้ในการจ้างนักร้องชาวจีนผ่านบิตคอยน์ แต่กลับถูกบุคคลที่แอบอ้างเป็นนักร้องหลอกลวง
- 5 พฤศจิกายน 2567: ทนายตั้มปรากฏตัวที่กองปราบปรามเพื่อให้ปากคำ โดยชี้แจงว่าเงินจำนวนนี้มาจากการที่เจ๊อ้อยต้องการจ้างนักร้อง แต่ถูกหลอกลวงโดยสแกมเมอร์ และยืนยันว่าจะต่อสู้คดีในชั้นศาล
- 7 พฤศจิกายน 2567: ศาลออกหมายจับทนายตั้มและภรรยาในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน โดยทั้งสองคนถูกจับกุมในจังหวัดฉะเชิงเทราและนำตัวไปที่กองปราบปรามเพื่อรอการแถลงข่าว
ความคืบหน้าล่าสุด
คดีนี้มีความซับซ้อนทางธุรกรรมการเงิน ทำให้ต้องอาศัยการตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียด เจ๊อ้อยกล่าวหาว่าทนายตั้มมีส่วนในการโอนเงินไปยังบัญชีที่ไม่เกี่ยวข้องและการใช้เงินในทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง ทนายตั้มปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าเงินดังกล่าวเป็นการให้โดยเสน่หาเพื่อลงทุนร่วมกัน
บทเรียนและข้อคิดจากคดีนี้
คดีทนายตั้ม-เจ๊อ้อยสะท้อนถึงความซับซ้อนของการลงทุนในยุคดิจิทัล และการจัดการทางการเงินที่อาจกลายเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตได้ การพิจารณาความโปร่งใสและการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกรรมเพื่อป้องกันการหลอกลวง
เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นที่สนใจจากประชาชน ขณะที่กระบวนการยุติธรรมยังดำเนินต่อไป