วันที่ 19 มิถุนายน 2567 นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายเปิด โดยเริ่มต้นกล่าวว่า ตนขอฝากความห่วงใยไปยังนายกรัฐมนตรีหวังว่าสุขภาพของท่านจะฟื้นจากอาการป่วยก่อนหน้านี้โดยเร็ว
ประเด็นแรก ตนขอย้ำว่า ร่างพ.ร.บ. งบปี 68 ฉบับนี้ ถือว่าสูงมากเป็นประวัติการถึง 3,752,700 ล้านบาท ซึ่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายก็มา 2 ส่วน คือรายได้รัฐบาลและเงินกู้ ถือว่าจัดได้แบบขาดดุลต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว ซึ่งในส่วนการประมาณการรายได้ของรัฐบาล ประมาณรายได้สุทธิ 2,887,000 ล้านบาท ที่เหลือเอามาจากวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 865,700 ล้านบาท ถือว่าเป็นการวางวงเงินกู้ไว้เกือบชนเพดาน พูดง่ายๆว่าเหลือพื้นที่กู้เงินได้เพียง 5,000 ล้านบาทเท่านั้น เมื่อเทียบกับงบประมาณรายจ่ายปี 2567 งบในปีนี้ได้รับการจัดสรรเพิ่มขึ้นถึง 272,700 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.8 ถือเป็นการเพิ่มงบประมาณในสัดส่วนที่สูงที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มงบประมาณรายจ่ายของประเทศอย่างก้าวกระโดด โดยกู้เงินมาใช้จนเกือบชนเพดานขนาดนี้ จะสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่นั้น จำเป็นต้องไปดูในรายละเอียดว่ารัฐบาลของเรากำลังจะเอาเงินไปทำอะไร
นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า ในการพิจารณางบปี 67 ครั้งที่ผ่านมา เราต้องผิดหวังกับการจัดสรรงบของรัฐบาลชุดใหม่ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นรัฐบาลใหม่ยังอ้างได้ว่า ยังไม่สามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากเป็นงบประมาณที่ค้างมาจากรัฐบาลก่อนหน้านี้ มาคราวนี้ งบปี 68 ต้องถือว่าเป็นการจัดสรรงบประมาณที่อยู่ในอำนาจเต็มของรัฐบาลชุดใหม่แล้ว ไม่สามารถปัดความรับผิดชอบได้อีก พอเราเข้าไปดูในรายละเอียด ก็ยิ่งผิดหวังถึงขั้นหมดหวัง เพราะเป็นการจัดสรรงบประมาณประเทศที่แทบจะเหมือนเดิม มีปัญหาแบบเดิมๆ เรียกได้ว่า “เหมือนเดิม เพิ่มเติม คือ ดิจิทัลวอลเลต”
นายชัยธวัช ระบุว่า รัฐบาลจัดงบเหมือนมียุทธศาสตร์ มีคำพูดสวยหรูเต็มไปหมด แต่พอลงรายละเอียดก็ซ้ำซาก ซ้ำซ้อน เบี้ยหัวแตก มองไม่เห็นเป้าหมายทางนโยบายที่ชัดเจน จับต้องได้ ตัวชี้วัดใช้ไม่ได้ ใช้งบประมาณแบบไม่สนใจผลลัพธ์ในทางปฏิบัติ ซึ่งงบปี 67 ยังมีโครงการใหม่ 236 โครงการ แต่งบปี 68 กลับมีโครงการใหม่เพียง 163 โครงการ เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่
แล้วหันไปดูรายจ่ายลงทุน จำนวนมากไม่มีการใช้จ่ายที่มีนัยยะสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ไปยึดโยงกับเครือข่ายการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ที่มีส่วนผลักดันรัฐบาลเข้าสู่อำนาจ จัดงบยุทธศาสตร์ แบบไม่มียุทธศาสตร์
หลุมดำหลุมแรก คือ สินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าประเทศจีนที่เกิดสภาวะล้นตลาด หลุมดำหลุมที่สอง คือ e-commerce หรือ platform ขายของออนไลน์ เป็นช่องทางการซื้อขายที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่วนแบ่งตลาดก็เป็นของต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ
นายชัยธวัช ระบุต่อว่า รัฐบาลก็ดูเหมือนเพิ่งตระหนักในประเด็นนี้ นายกฯ จึงสั่งให้ทบทวนเรื่องการใช้เงินดิจิทัลวอลเลตว่าจะซื้อโทรศัพท์มือถือได้หรือไม่ สะท้อนถึงการคิดไม่รอบคอบก่อนทำนโยบาย พร้อมย้ำว่าหากอยากพลิกฟื้นประเทศจริง ต้องเน้นลงทุน เน้นภาคการผลิต
ถ้าเราเอาโจทย์ของประเทศเป็นตัวตั้ง จะเห็นการจัดซื้อจัดจ้างที่กระตุ้นการจ้างงานภายในประเทศ เมื่อเทียบกับมาเลเซีย ที่กำลังกลายเป็นซิลิคอนแวลลีย์แห่งตะวันออก เขามียุทธศาสตร์ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ที่ชัดเจน ไม่ใช่จะเป็นยุทธศาสตร์ทุกเรื่อง การจะเป็นศูนย์กลางทุกเรื่อง แสดงว่าไม่ให้ความสำคัญอะไรเลย เราต้องการโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่ ยังมีโจทย์อีกมากที่ไม่ได้รับการตอบสนองผ่านการจัดงบ ทั้งโจทย์การศึกษาและการเรียนรู้ โจทย์สังคมสูงวัย โจทย์ของชนบทไทย
นายชัยธวัช สรุปว่า การจัดสรรงบปี 2568 สะท้อนให้เห็นว่า มักง่ายที่สุด สุ่มเสี่ยงที่สุด เพราะรัฐบาลกำลังเอาทรัพยากรของประเทศ ไปมุ่งแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองเฉพาะหน้าของตัวเอง โดยเอาโอกาสของคนไทยทุกคนและอนาคตของประเทศมาวางเดิมพันอย่างไม่รับผิดชอบ Ignore Thailand เจ๊งไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นายชัยธวัชอภิปรายจบ นายไชยวัฒนา ติณรัตน์ สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วง โดยระบุว่า ยกแรกตนไม่อยากขัดจังหวะ แต่คำว่าเจ๊งไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ ไม่สุภาพ เสียดสี ใส่ร้าย แต่นายวันมูมะมัดนอร์ กล่าวว่า นายชัยธวัชอภิปรายต่อไปได้