หลังจากที่ Nissan March อีโค่คาร์รุ่นบุกเบิกของเมืองไทย ได้ออกจากสายการผลิตเป็นคันสุดท้ายอย่างเป็นทางการเมื่อเวลา 12.00 น. ของวันที่ 26 กรกกฎาคมที่ผ่านมา แม้จะเป็นการปิดตำนาน 1 ในอีโค่คาร์ที่ขายดีที่สุดจากแบรนด์ Nissan แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถ K13 รุ่นนี้เป็นหนึ่งในรถยอดนิยมของผู้ขับขี่ชาวไทยที่ครองใจยาวนานกว่า 12 ปี เลยทีเดียว
ตลอดระยะเวลา 12 ปีของรถรุ่นนี้ผ่านช่วงเวลาที่สำคัญต่าง ๆ มานับไม่ถ้วนไปพร้อม ๆ กับการที่ได้รำลึกความทรงจำในฐานะรถคันแรกที่ได้ร่วมเดินทาง ร่วมสร้างอาชีพ สร้างมิตรภาพ สร้างความสัมพันธ์ สร้างประสบการณ์การเดินทางในที่ใหม่ ๆ ไปด้วยกัน
และแน่นอนว่าตลอดระยะเวลา 12 ปี ของ Nissan March (K13) ก็ได้ตกผลึก ร้อยเรียงสร้างเรื่องราวของประวัติศาสตร์ของอีโค่คาร์รุ่นแรกดีไซน์น่ารักให้เป็นที่ชื่นชอบของแฟน ๆ ชาวไทย ไปพร้อม ๆ กับการติดตามความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องไปกับ 12 ความทรงจำอันทรงคุณค่าของ Nissan March ที่คุณไม่ควรพลาด
1.วันลืมตาดูโลกในฐานะแบรนด์แรกที่ร่วมโครงการอีโค่คาร์ในประเทศไทย
Nissan March (K13) เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 12 มีนาคม ปี 2553 ในฐานะรถยนต์อีโค่คาร์คันแรกของประเทศไทย ซึ่ง Nissan เป็นหนึ่งในแบรนด์ ที่ยื่นเข้าร่วมโครงการส่งเสริมรถยนต์ประหยัดพลังงานในประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขเฟสแรกของโครงการ อาทิ ความจุเครื่องยนต์เบนซินไม่เกิน 1,300 ซีซี หรือ 1.3 ลิตร, มีค่าการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่า 120 กรัม/กม. และผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro4 ขึ้นไป, อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันไม่ต่ำกว่า 5 ลิตร/100 กม. หรือ 20 กม./ลิตร (มาตรฐาน UNECE Reg.83)
ขุมพลังแรกเริ่มจะเป็นเครื่องยนต์เบนซินรหัส HR12DE แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.2 ลิตร (1,198 ซีซี) กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก 78.0 x 83.6 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 10.2 : 1 สมรรถนะสูงสุด 79 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 106 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที
มีระบบส่งกำลังให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด กับเกียร์ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า รองรับน้ำมันเบนซิน E20 และยังคงใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบัน เช่น ใน Almera
และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันทำได้เฉลี่ย 19 – 20 กม./ลิตร ขึ้นกับระบบส่งกำลัง
2.มีชื่อมากกว่าหนึ่ง
ในตลาดเอเชียและอเมริกาใต้ จะใช้ชื่อว่า Nissan March ซึ่งชื่อดังกล่าวมีความหมายที่น่าสนใจ เมื่อแปลจากภาษาอังกฤษ จะมีความหมายทั้งเดือนมีนาคม หรือเดินสวนสนาม ไปจนถึงความหมาย “มุ่งไปข้างหน้า”
ขณะที่ในตลาดยุโรป อเมริกาเหนือ แคนาดา จะใช้ชื่อ Nissan Micra เพื่อเป็นการสืบทอดชื่อ Datsan Micra ที่วางจำหน่ายในยุคปี 1982 รวมถึงครั้งหนึ่งเคยใช้ชื่อ Nissan Verita สำหรับตลาดไต้หวัน และฟิลิปปินส์
3.K13 ไม่ใช่รุ่นแรกที่เข้าไทย
แม้ Nissan March จะเป็นรถอีโค่คาร์รุ่นแรก ๆ ที่จำหน่ายในไทย แต่ถึงกระนั้น นิสสัน มาร์ช เคยจำหน่ายในไทยก่อนหน้าในรุ่น K10 ภายใต้นำเข้า และจัดจำหน่ายโดยสยามกลการ จำกัด แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเนื่องจากตัดออพชั่นเยอะ จึงทำให้ต้องยุติทำตลาดลงในปี 2530 และทิ้งช่วงไปสองเจนเนอเรชั่น
จนกระทั้งกลับมาจำหน่ายอีกครั้งในปี 2553 หรือ 23 ปีต่อมาภายใต้เจนเนอเรชั่นที่สี่
4.แรกเริ่มไม่ถึง 4 แสน
Nissan March (K13) ในยุคแรก มีตัวเลือกรุ่นย่อยมากถึง 6 รุ่นย่อย พร้อมราคาในยุคนั้นที่ถือได้ว่าโดดเด่นกว่าคู่แข่งที่ตามมา ด้วยราคาจำหน่ายดังนี้
- รุ่น 1.2 S MT ราคา 375,000 บาท
- รุ่น 1.2 E MT ราคา 425,000 บาท
- รุ่น 1.2 E CVT ราคา 459,000 บาท
- รุ่น 1.2 EL CVT ราคา 489,000 บาท
- รุ่น 1.2 V CVT ราคา 507,000 บาท
- รุ่น 1.2 VL CVT ราคา 537,000 บาท
มาถึงรุ่นปัจจุบัน ได้มีการปรับลดจำนวนรุ่นย่อยลงให้เหลือ 4 รุ่น ควบคู่กับการปรับอุปกรณ์ใหม่ ๆ ให้ทันสมัยขึ้น พร้อมปรับราคาใหม่ ดังนี้
- รุ่น 1.2 S MT ราคา 420,000 บาท (ส่วนต่าง 45,000 บาท)
- รุ่น 1.2 E MT ราคา 480,000 บาท (ส่วนต่าง 60,000 บาท)
- รุ่น 1.2 E CVT ราคา 495,000 บาท (ส่วนต่าง 36,000 บาท)
- รุ่น 1.2 EL CVT ราคา 510,000 บาท (ส่วนต่าง 21,000 บาท)
ขณะที่รุ่น V และ VL ได้ยกเลิกการจัดจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อย
5.ยอดจองถล่มทลาย
ในช่วงแรก Nissan March สามารถทำยอดจองถล่มทลายในไทยไปกว่า 5,000 คัน และเข้าสู่เดือนกรกฎาคมปี 2553 ก็ทำยอดจองได้สูงถึง 8,000 คัน ส่งผลให้ลูกค้าใหม่ที่สั่งซื้ออาจต้องรอส่งมอบนานถึง 5 เดือนเลยทีเดียว
หลังเปิดตัวเพียง 2 ปี สามารถสร้างยอดขายได้ทะลุ 100,000 คัน
ด้วยความสำเร็จนี้ส่วนหนึ่งมาจากเป็นรถ Eco Car ที่ผ่านคุณสมบัติทั้งการบริโภคน้ำมันที่ต่ำ ก่อมลพิษต่ำ ให้สมรรถนะที่เหมาะสมกับการขับขี่ในเมือง ฟีเจอร์ที่เรียบง่ายทันสมัย และมีบุคลิกที่โดดเด่นเฉพาะตัวนั่นเอง
6.ช่วงเวลาของการปรับปรุงใหม่
Nissan March ผ่านการปรับปรุงใหม่อุปกรณ์ใหม่อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงอายุขัย แต่ตัวรถก็ได้เข้าสู่โฉมไมเนอร์เชนจ์หลัก ๆ ถึง 3 ช่วง อาทิ
ปี 2556 มีการปรับดีไซน์กระจังหน้าใหม่ พร้อมชิ้นส่วน V strut โครเมียมกลางช่องดักลมหน้า, ไฟหน้าปรับดีไซน์เล็กน้อย, กันชนหน้าใหม่พร้อมไฟตัดหมอก, ภายในตัวท็อปสีเบจ, จอ LCD กลางเรือนไมล์ที่ออกแบบใหม่, ระบบส่งกำลังและช่วงล่างปรับปรุงเล็กน้อย
ปี 2558 มีการเพิ่ม Diamond LED Daylight ที่กันชนหน้า, ห้องโดยสารโทนสีดำ ตกแต่งแถบสีเงินเพิ่มความดูดี, ถุงลมนิรภัยคู่หน้าทุกรุ่นย่อย, เพิ่มเซ็นเซอร์ถอยหลัง, กุญแจรีโมทใหม่, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น และปรับลดรุ่นย่อยมาเหลือแค่ 3 รุ่น EL, V, และ VL
และปี 2561 ปรับรูปลักษณ์ไฟหน้าใหม่เพิ่มความสปอร์ต, สปอยเลอร์ท้ายพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3, ล้อกะทะพร้อมฝาครอบล้อ 15 นิ้ว, ไฟท้าย LED, ปรับรุ่นย่อยใหม่เป็น 4 รุ่นย่อย ได้แก่ S MT, E MT, E CVT และ EL CVT และยกเลิกจำหน่ายรุ่น V และ VL
7.เปิดตัวรุ่นพิเศษ
ในปี 2557 นิสสัน ประเทศไทย เปิดตัวรุ่นพิเศษ Limited Edition ที่มาพร้อมกับการออกแบบุคลิกใหม่สไตล์รถยนต์หรู ด้วยไฟหน้าทรงกลม, ตะแกรงพร้อมขอบกระจังหน้าโครเมียม และคิ้วกันชนหน้าโครเมียม พร้อมสีตัวถังที่มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีขาวไวท์เพิร์ล, สีดำแบล็คสตาร์ และ สีเขียวสปริงกรีน
Nissan March Limited Edition ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 600 คันเท่านั้น ราคาและรุ่นย่อยดังนี้
รุ่น 1.2 E MT Limited Edition ราคา 456,000 บาท
รุ่น 1.2 E CVT Limited Edition ราคา 490,000 บาท
รุ่น 1.2 EL CVT Limited Edition ราคา 518,000 บาท
8. การันตีความสำเร็จในไทย
Nissan March (K13) ประสบความสำเร็จทั้งในด้านประสิทธิภาพการสิ้นเปลืองน้ำมันที่เข้าเกณฑ์ ดีไซน์เรียบง่ายโดนใจคนรุ่นใหม่ มีการปรับออพชั่นให้ทันสมัยตลอดเวลา รวมถึงราคารถที่ตั้งไว้ทำให้จับจองได้ง่าย
และรถรุ่นนี้ยังได้คว้ารางวัลชั้นนำของไทยมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรางวัล Car of the year thailand จากกรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้แก่ รางวัลพิเศษประจำปี 2010 “MOST ENVIRONMENTAL FRIENDLY CAR” และ BEST PASSENGER CAR UNDER 1,200 cc. ปี 2011 เป็นต้น
9.ทยอยปิดสายการผลิต
สำหรับประเทศไทยเองนั้นได้มีข่าวคราวถึงการยุติการผลิต และจัดจำหน่ายรถรุ่นนี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่ยังคงยังมีการผลิตอยู่ที่โรงงาน บางนา-ตราด กม. 22 ในจำนวนไม่มาก และยังคงมีค้างการผลิตอีก 200 คัน อันเนื่องมาจากการขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์
ตัวรถเข้าสู่ช่วงปลายอายุขัย เทรนด์เปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปภายในสู่ไฟฟ้า และไฮบริด เพื่อสู้กับราคาน้ำมันแพง และสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนของอีโคคาร์เฟส 1 ก็สิ้นสุดลงแล้ว ส่งผลให้ความนิยมค่อย ๆ ลดลง
ประกอบกับบทสัมภาษณ์ของประธาน นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) มร. อิซาโอะ เซคิกุจิ ได้ให้สัมภาษณ์กับทางประชาชาติธุรกิจว่า Nissan จะเน้นสี่จำหน่ายสี่รุ่นหลัก อาทิ Almera, Navara, Terra และ Kicks e-Power ส่วนรถยนต์นำเข้าจะมีเพียงสองถึงสามรุ่น อาทิ LEAF, GT-R และ URVAN
ปัจจุบัน ประเทศเม็กซิโก ยังคงเดินสายการผลิต Nissan March (K13) อยู่ เพิ่มเติมคือการปรับโฉมหน้าใหม่ให้ใกล้เคียงกับ K14 ภายในทันสมัยมากขึ้น และสะท้อนถึงภาษาออกแบบใหม่ด้วย ซึ่งได้เปิดตัวเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา
10.Nissan Note ลูกพี่ลูกน้อง March
แม้ว่า Nissan March จะเป็นแฮทช์แบ็คท้ายตัด แต่ในเมืองไทยก็มีโมเดล Nissan Note (E12) ซึ่งเป็นรถซับคอมแพ็คแฮทช์แบ็ค 5 ประตู ที่มีตัวถังใหญ่กว่า ยาวกว่า ฟีเจอร์ที่ทันสมัยมากขึ้นโดยเฉพาะการบรรจุเทคโนโลยี Intelligent Mobility Driving Technology
สิ่งที่เหมือนกันระหว่าง Note และ March นั้นคือการเปิดตัวด้วยเครื่องยนต์เบนซินรหัส HR12DE แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.2 ลิตร 79 แรงม้า จึงทำให้รถรุ่นนี้ได้เข้าร่วมโครงการอีโคคาร์ (เฟส 1) ด้วยเช่นกัน
และยังถูกต่อยอดเป็นเครื่องยนต์ปั่นไฟสำหรับป้อนมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้า ให้กำลังสูงสุด 109 แรงม้า ที่ 3,008 – 10,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 254 นิวตันเมตร ที่ 0 – 3,008 รอบ/นาที ในรุ่น Note e-POWER
Nissan Note (E12) เปิดตัวในไทยในปี 2560 และได้ยุติการผลิตช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
11.ดับฝัน K14 เข้าไทย
ในขณะที่ Nissan Micra (K13) เข้าสู่ช่วงปลายอายุขัย ประกอบกับยอดขายในยุโรปที่ไม่สู้ดีเท่าเมื่อเทียบกับรุ่น K12 จึงทำให้ต้องมีการพัฒนาเจนเนอเรชั่นใหม่ในชื่อรหัส K14 พร้อมกับใช้แพลตฟอร์ม CMF-B และการดีไซน์ที่ถ่ายทอดจาก Nissan Sway Concept จนในที่สุดก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในยุโรปเมื่อเดือนธันวาคม 2559 และเป็นโมเดลที่ทำตลาดแทนที่ Nissan Note อีกด้วย
ความน่าสนใจของรถรุ่นนี้นอกจากดีไซน์ที่ดูโฉบเฉี่ยวขึ้น มีออพชั่นที่ทันสมัยมากขึ้นแล้ว ยังมีขุมพลังที่หลากหลายความจุ หลากหลายแบรนด์ในเครือพันธมิตร อาทิ เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 0.9 ลิตร 90 แรงม้า, เครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร 70 แรงม้า จนถึงเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร 97 แรงม้า
ทั้งนี้ Nissan Micra K14 ยังคงผลิต และจัดจำหน่ายเฉพาะในภูมิภาคยุโรปเท่านั้น ไม่มีแพลนจำหน่ายนอกภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย
12.ลุ้น March EV
แม้ว่าอาจจะไม่ได้เห็น Nissan March K13 ที่ปรับรูปลักษณ์ใหม่แบบสเปคเม็กซิโก หรือรหัส K14 ที่โฉบเฉี่ยว ทันสมัย และเครื่องยนต์ใหม่ แต่ทว่าช่วงต้นปี 2022 ที่ผ่านมา นิสสัน มอเตอร์ ได้เผยภาพทีเซอร์ของรถยนต์ขนาดเล็กที่มาพร้อมแพลตฟอร์ม CMF B-EV และขุมพลังไฟฟ้า ที่มีพิกัดใกล้เคียงกับ Nissan Micra / March
รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้จะมีแผนขึ้นสายการผลิตในโรงงาน Renault ที่ฝรั่งเศส และมีแผนประเดิมจำหน่ายในยุโรปก่อน โดยที่ยังไม่มีแผนว่าจะทำตลาดในภูมิภาคอื่นด้วยหรือไม่ แฟน ๆ รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กอาจคงต้องรอลุ้นเข้ามาจำหน่ายในไทยกันอีกพักใหญ่เลยทีเดียว
นี่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ และเรื่องราวสำคัญของ Nissan March แม้โมเดลดังกล่าวได้กลายเป็นตำนานไปแล้ว แต่ในอนาคตยังคงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก และเทคโนโลยี e-POWER ที่จะต่อยอดไปสู่รถยนต์ขนาดเล็ก เพื่อตีตลาดคนรุ่นใหม่ที่ต้องการรถคันแรกในชีวิต งานนี้คงต้องจับตากันต่อไปว่าใครจะมาสานต่อรถขนาดเล็กแต่ชื่อฮึกเหิมกันในอนาคต