วิธีสังเกตุอาการผิวแห้งหรือผิวขาดน้ำ ที่คือปัจจัยหลักๆที่มักจะส่งผลให้เกิดริ้วรอยได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นอาการที่หลายๆคนยังสับสนอยู่ เพราะคิดว่าปัญหาของอาการผิวแห้ง กับ ผิวขาดน้ำ เป็นปัญหาเดียวกัน เพราะมีลักษณะที่คล้ายกัน แต่ที่จริงแล้วนั้นปัญหาผิวหน้าดังกล่าวนั้นแตกต่างกัน เพราะส่งผลในระยะยาวที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งหลักๆแล้ว ผิวขาดน้ำมักจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดการดูแลที่เหมาะสม ไม่ใช่ปัญหาผิวที่เป็นมาแต่กำเนิดนั่นเอง วันนี้เลยจะชวนทุกคนมาทำความเข้าใจ อาการผิวแห้ง และ ผิวขาดน้ำ ที่สาวๆมักจะพบกับปัญหาเหล่านี้พร้อมกับวิธีรับมือและเข้าใจว่าผิวของเราเป็นแบบไหนกัน
ผิวขาดน้ำ (Dehydrated skin) เป็นภาวะปัญหาที่ผิวขาดความชุ่มชื้น หรือขาดน้ำไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวใต้ชั้นผิวหนังทำให้ผิวเกิดการแห้งกร้าน สามารถเกิดได้กับทุกสภาพผิว โดยผิวขาดน้ำ มักจะมีผิวที่ทั้งแห้งและมันในเวลาเดียวกัน สามารถสังเกตลักษณะอาการได้ เช่น หลังล้างหน้าจะรู้สึกว่าผิวหน้าแห้งตึง หยาบกร้าน และแตกลอก แต่ในขณะเดียวกันระหว่างวันผิวจะมัน เป็นสิวง่าย แต่งหน้าไม่ติด ซึ่งเกิดจากการผลิตน้ำมันบนผิวมากเกินไปเพื่อชดเชยความชุ่มชื้นที่เสียไป ทำให้ดูผิวมัน รูขุมขนกว้าง หากปล่อยไว้นานอาจทำให้ผิวสูญเสียการทำงาน เกิดการแพ้ระคายเคือง ส่งผลให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า
สาเหตุของการเกิดผิวขาดน้ำนั้นเกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยปัจจัยภายใน ได้แก่ โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ ที่ทำให้รักษาน้ำไว้ที่ผิวหนังไม่ได้ และอายุของเรา โดยอายุที่มากขึ้นนั้นจะส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันน้อยลง ไขมันระหว่างเซลล์ก็ลดลง ทำให้ผิวหนังสูญเสียน้ำได้ง่าย
ปัจจัยภายนอก อาจมาจาก สารเคมีหรือสารทำความสะอาดชนิดรุนแรงที่ไปชะล้างน้ำมันเคลือบผิวมากเกินไป ทำให้ผิวหนังสูญเสียน้ำง่ายขึ้น การลอกผิวหรือผลัดเปลี่ยนผิวชั้นหนังกำพร้าเร็วกว่าปกติ จนไม่สามารถสร้างชั้นไขมันได้ทัน ส่วนใหญ่จะพบในผู้ที่มีประวัติการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดผิวที่มีความเข้มข้นสูง และใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศร้อนและเย็น ทำให้ผิวสูญเสียน้ำง่ายและมากขึ้น ผิวก็จะแห้งและเกิดการอักเสบ นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่เคยชินแบบผิดๆ เช่น การดื่มน้ำสะอาดน้อย การตากแดดโดยไม่ทาครีมกันแดด รวมถึงการนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
ส่วนวิธีการดูแลผิวขาดน้ำ ให้กลับมาชุ่มชื้นอย่างสุขภาพดี จำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูบำรุงและเติมน้ำให้แก่ผิวอยู่เสมอ ด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มอบความชุ่มชื้นกับผิวได้อย่างยาวนาน โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง หรือรบกวนชั้นผิวที่บอบบาง หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมน้ำมันธรรมชาติ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันโจโจ้บา น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส และงดกิจกรรมที่ส่งผลรบกวนผิวอย่างเช่น การสครับหน้า การลอกหน้า การใช้แปรงนวดหน้าที่มีขนหยาบเกินไป ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นกรดสูง หลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นล้างหน้า ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพื่อทดแทนน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป สามารถคำนวณได้จากน้ำหนักตัว (ก.ก.) x 33 =… ซีซี (1,000 ซีซี = 1 ลิตร, 1 ลิตร = 4 แก้ว) รับประทานอาหารที่มีโอเมก้า 3, วิตามิน เอ ซี อี เพื่อลดการอักเสบของผิวหนัง และอีกสิ่งที่สำคัญ คือ ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
อ้างอิงข้อมูลโดย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม แพทย์หญิงอวิกา รงค์ทอง