เคธี โฮชุล รองผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กของสหรัฐฯ ประกาศแผนการบังคับสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะในร่มทุกแห่งอีกครั้ง ยกเว้นธุรกิจหรือสถานที่ที่บังคับใช้ข้อกำหนดด้านวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) แล้ว เพื่อรับมือกับการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว
ข้อบังคับสวมหน้ากากอนามัยดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ 13 ธ.ค. 2021 ถึง 15 ม.ค. 2022 และจะประเมินผลเพิ่มเติมอีกครั้ง โดยการกลับมาบังคับสวมหน้ากากอนามัยนี้เป็นผลจากยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 เฉลี่ย 7 วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 และยอดผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 นับตั้งแต่วันขอบคุณพระเจ้าเมื่อวันที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมา
รายงานระบุว่าการกลับมาบังคับสวมหน้ากากอนามัยนี้ ซึ่งครอบคลุมประชาชนอายุ 2 ปีขึ้นไป และพนักงานของกิจการและสถานที่สาธารณะในร่ม ยังมุ่งป้องกันโรคช่วงวันหยุดเทศกาล ซึ่งเป็นห้วงเวลาแห่งการชอปปิงในที่ร่ม รวมตัวสังสรรค์ และเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ
บุคคลที่ฝ่าฝืนข้อบังคับนี้จะถูกลงโทษทางแพ่งและอาญา ซึ่งรวมถึงการปรับเงินสูงสุด 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 33,000 บาท) ต่อการฝ่าฝืนแต่ละครั้ง
ขณะเดียวกันรัฐนิวยอร์กยังใช้ข้อบังคับสวมหน้ากากอนามัยนี้กับโรงเรียนระดับก่อนวัยเรียนถึงเกรด 12 ระบบขนส่งสาธารณะ สถานพักพิงของคนไร้บ้าน ราชทัณฑ์ สถานดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุ และสถานพยาบาล เพื่อสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของประเทศ
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 26 พ.ย. โฮชุลประกาศภาวะฉุกเฉินจากภัยพิบัติทั่วทั้งรัฐจนถึงวันที่ 15 ม.ค. 2022 พร้อมบังคับใช้มาตรการฉุกเฉินบางประการอีกครั้ง เพื่อรับมือการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น โดยรัฐนิวยอร์กเคยประกาศภาวะฉุกเฉินจากภัยพิบัติโรคโควิด-19 และข้อบังคับสวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้นปี 2020 ก่อนยกเลิกเมื่อต้นปีนี้ เพื่อพยายามเปิดเมืองอีกครั้ง