ความเคลื่อนไหว การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงภายหลังพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเสรีรวมไทย อภิปรายว่า ในฐานะที่พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เป็นรุ่นพี่ตน หลายอย่างรู้สึกว่าคิดไม่ตรงกันเท่าไหร่ อาจจะประสบการณ์ต่างกัน เนื่องจากพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เป็นเพียงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี ประสบการณ์จึงต่างกัน พร้อมชี้แจงทำงบประมาณขาดดุลในเมื่อรายได้เก็บได้ต่ำกว่าโดยเฉพาะเป็นช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-19 เพราะฉะนั้นงบประมาณรายจ่ายแบบขาดดุลก็ยังมีอยู่ เพื่อจะขับเคลื่อนให้มีการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ส่วนงบประมาณกระทรวงกลาโหม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ชี้แจงไปหลายครั้งแล้ว การจัดตั้งงบประมาณ ไม่ได้สูงตามที่มีการอภิปราย ส่วนการจัดซื้อ ยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิต ของทหาร ที่มีความเสี่ยงตลอดเวลา ยืนยันว่ากองทัพพิจารณาการจัดซื้อจัดหาตามความจำเป็น ซึ่งจะต้องมีการประเมินแผนเผชิญเหตุไว้ล่วงหน้าในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์
ส่วนประเด็นการสร้างหนี้สาธารณะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นหนี้ส่งต่อมาหลายรัฐบาล ตนไม่มีเพิ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลตน แต่เป็นหนี้ที่เกิดมูลค่า ส่วนที่มีข้อกล่าวอ้างว่าการออกมาตรการของตนออกมาเพื่อให้คนนั้นรัก หรือเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ คงไม่ใช่ตรงนั้นจะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อ อยู่ที่กระบวนการประชาธิปไตยในสภาฯ ก็ว่ากันไป ตนไม่สามารถหลอกใครได้ วันนี้ประชาชนเปิดหูเปิดตามากขึ้นแล้ว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประเด็นการชุมนุมทางการเมืองด้วยว่า วันนี้มีการตรวจสอบอยู่ว่ามีใครทำให้บ้านเมืองเสียหาย ตนไม่ได้ขู่ใครทั้งสิ้นเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องดำเนินการไป ในส่วนรัฐบาลทำหน้าที่ในฝ่ายบริหาร ตำรวจก็อยู่ในฝ่ายบริหาร แต่อย่าลืมว่าอีก 2 อำนาจ คือนิติบัญญัติในสภาแห่งนี้ และอำนาจตุลาการ ซึ่งเป็นเรื่องของอัยการและศาล ตนไปก้าวล่วงไม่ได้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลทำเต็มที่ ตำรวจทำเต็มที่ การที่บอกว่าจะใช้อำนาจกับประชาชนเยาวชนเด็กแล้วใช่ที่ควรจะไปหรือไม่ วันนี้กฎหมายมีอยู่ ทุกคนบอกว่าตนใช้อาวุธ ตนไม่เห็นตำรวจถืออาวุธจริงสักคน มองไม่ออกหรือว่าอันไหนอาวุธจริงหรือปลอม เป็นถึงอดีตผบตร. มีแต่ตำรวจถูกยิงอยู่ทุกวัน ยืนยันว่าไม่มีการสั่งการให้ใช้อาวุธจริง ขอให้คอยดูต่อไป ว่าใครจะทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาด้วยแรงหนุนจากใคร นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยต้องระมัดระวังที่สุด
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงประเด็น work from home ว่า ตนนึกถึงประชาชนทุกวัน บอกว่าตนไม่ทำงานทำงานแบบ work from home ช่วงนั้นที่ตนว่า work from home 14 วันเพราะคนรอบข้างติดโควิด-19 หมอสั่งให้ตนทำงานที่บ้าน อาทิตย์หนึ่งตนทำงานทุกวันที่ทำเนียบ แต่เป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference การทำงานวันนี้เป็นแบบนี้เพราะเป็นลมยุคใหม่แล้ว
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ บอกบริจาคเงินมากกว่าตน เป็นเรื่องที่ดี ขอบคุณมาก ตนก็มีแต่เงินเดือนไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจ ไม่ได้มีลูกหลาน ทำธุรกิจที่พักรีสอร์ท มีเงินเดือนเท่านั้นที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ และไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์จากใครทั้งสิ้น อันนี้ตนยืนยันได้ ซึ่งตนได้สวดมนต์ทุกวัน เพราะฉะนั้นตนจะไม่ทำอะไรที่มันผิดขอให้เข้าใจกันด้วย ที่ตนจำเป็นต้องพูดกับพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เนื่องจากเป็นรุ่นที่ตน พูดอยู่เสมอว่าเป็นรุ่นพี่เท่านั้นปีเท่านี้ปี น้องนุ่งก็เคารพอยู่ ก็ระวังแล้วกันวันข้างหน้า เขาจะไม่เคารพก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาคิดเป็นแล้วเด็กในวันนี้ จริงๆ แล้วยังไม่ถึงเวลาที่ผมพูด แต่ก็จำเป็นเพราะเป็นพี่ผม ก็ต้องพูดซะหน่อยตั้งใจจะไม่พูดแต่เผอิญท่านพูดมาก่อน ตำหนิน้องท่านมากไปสักนิด ตนก็ไม่โกรธไม่เคือง แต่ขอให้คำนึงถึงความจริง และฝากไปยังประชาชนที่รับชมจากที่บ้านหากได้ฟังตนอยู่ตอนนี้ ขอให้ดูหน้าผม พร้อมฟังผม ผมพูดจากหัวใจของผม สมองที่ท่านว่าน้อยของผม แต่อย่าลืมว่าผมมีประสบการณ์ถึง 6-7 ปี ตรงนี้คือความแตกต่างที่ผมน่าจะรู้มากกว่า ยืนยันรัฐบาลทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ความเป็นห่วงเป็นใยประชาชนและพิจารณาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นหลายอย่างที่พูดภายในเช้านี้ ทั้งราคาวัคซีน การบริหารกัน จะมีรองนายกฯ ชี้แจงได้หมดทุกข้อ ขอให้รอฟังถ้าไม่ใช่ให้ไปตรวจสอบ แต่ถ้าไปพูดข้างนอกอาจมีปัญหา ไม่ได้ขู่ เพราะเป็นการพูดในสภา ต้องระมัดระวังเหมือนกัน เพราะประชาชนเข้าใจผิด