มรดกแห่งเส้นใย ความรักที่พระองค์ถักทอไว้
พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (Queen Sirikit Museum of Textiles)
สถานที่ที่หัวใจของพระพันปีหลวงยังคงเต้นอยู่
ในห้วงเวลาแห่งความอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง หนึ่งในสถานที่ที่สะท้อนพระราชจริยวัตรอันงดงามของพระองค์ได้อย่างลึกซึ้ง คือ พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่นี่ไม่ใช่แค่แหล่งเรียนรู้เรื่องผ้าไทย หากแต่เป็นบทบันทึกแห่งความรัก ความห่วงใย และพระราชปณิธานที่พระองค์ทรงฝากไว้ให้แผ่นดิน เพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน

ที่มาภาพ FB PAGE : Queen Sirikit Museum of Textiles

ที่มาภาพ FB PAGE : Queen Sirikit Museum of Textiles
จุดเริ่มต้นของพิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ก่อตั้งขึ้นตามพระราชดำริในปี พ.ศ. 2546 ณ หอรัษฎากรพิพัฒน์ ภายในพระบรมมหาราชวัง โดยพระองค์ทรงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการเก็บรักษาและจัดแสดงผ้าไทยอันทรงคุณค่า
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จึงเปรียบเสมือนเส้นใยแห่งพระเมตตา ที่พระองค์ทรงถักทอไว้ด้วยหัวใจ เพื่อให้คนไทยได้สัมผัสถึงความงามของวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้ง




นิทรรศการ “ชุดไทย : จากราชสำนักสู่ราชนิยม” จัดแสดงฉลองพระองค์ชุดไทยพระราชนิยม ทั้ง ๘ แบบของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประกอบด้วย ฉลองพระองค์ชุดไทยเรือนต้น ฉลองพระองค์ชุดไทยจิตรลดา ฉลองพระองค์ชุดไทย อมรินทร์ ฉลองพระองค์ชุดไทยบรมพิมาน ฉลองพระองค์ชุดไทยดุสิต ฉลองพระองค์ชุดไทยจักรี ฉลองพระองค์ ชุดไทยศิวาลัย และฉลองพระองค์ชุดไทยจักรพรรดิ ที่มีความงดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ ห้องจัดแสดง 1 พิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบรมมหาราชวัง ที่มา : FB PAGE: Queen Sirikit Museum of Textiles
ผลงานเด่นที่สร้างชื่อระดับโลก

ฉลองพระองค์ชุดราตรีของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงตัดเย็บจากผ้าไหมมัดหมี่ ออกแบบโดยนายปิแอร์ บัลแมง ข้อมูลและภาพจากนิทรรศการ สิริราชพัสตราบรมราชินีนาถ FB PAGE: Queen Sirikit Museum of Textiles
- ฉลองพระองค์ที่ออกแบบร่วมกับดีไซเนอร์ระดับโลก เช่น Pierre Balmain ผสานความเป็นไทยกับแฟชั่นสากล อย่างวิจิตร ผสมผสานความหรูหราแบบตะวันตก กับความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของผ้าไหมไทยอย่างทรงคุณค่า จนได้รับยกย่องว่าเป็นสุภาพสตรีที่แต่งกายงดงามที่สุดในโลก ๒ ปีซ้อน และได้รับยกย่องว่าทรงเป็นพระราชนินีที่เข้าพระทัยในการนำผ้าไหมไทยมาจับคู่และตัดเย็บฉลองพระองค์ได้อย่างงดงามด้วย
- การจัดแสดงผ้าโบราณหายาก จากทุกภูมิภาคของไทย พร้อมข้อมูลเชิงลึกด้านประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาท้องถิ่น
- นิทรรศการหมุนเวียน ที่นำเสนอเรื่องราวของผ้าไทยในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านศิลปะ สังคม และวัฒนธรรม



ฉลองพระองค์ชุดราตรีในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตัดเย็บจากผ้าไหม โดยนายปีแอร์ บัลแมง ทรงในการเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการแสดงโขน ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ขอบคุณภาพจาก : นิทรรศการ สิริราชพัสตราบรมราชินีนาถ, FB PAGE: Queen Sirikit Museum of Textiles
ทำไมพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ จึงสำคัญต่อคนไทย
พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ไม่ใช่เพียงสถานที่จัดแสดงผ้าไทย หากแต่เป็น ศูนย์กลางแห่งการอนุรักษ์ สร้างสรรค์ และส่งต่ออัตลักษณ์ไทย ไปสู่คนรุ่นใหม่และสายตาชาวโลก
อนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย
- เก็บรักษาผ้าโบราณหายากจากทุกภูมิภาค
- ถ่ายทอดเรื่องราวของลวดลาย เทคนิค และความเชื่อที่ฝังอยู่ในผืนผ้า
- ทำให้คนไทยได้เห็นรากเหง้าของตนเองอย่างจับต้องได้ ยกระดับอาชีพช่างฝีมือ
- สนับสนุนช่างทอผ้าทั่วประเทศผ่านมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ
- เปิดพื้นที่ให้ผลงานของช่างไทยได้แสดงออกอย่างสง่างาม
- สร้างรายได้และความภาคภูมิใจให้ชุมชนท้องถิ่น เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีชีวิต
- จัดกิจกรรมเวิร์กช็อป นิทรรศการ และหลักสูตรสำหรับเยาวชน
- สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่เข้าใจและรักวัฒนธรรมไทย
- เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตผ่านงานผ้า
สร้างภาพลักษณ์ไทยในเวทีโลก
- ฉลองพระองค์ที่ออกแบบร่วมกับดีไซเนอร์ระดับโลก สะท้อนความงามแบบไทยสากล
- เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
- ทำให้ “ผ้าไทย” กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความงดงามและภูมิปัญญา

แม้วันนี้พระพันปีหลวงจะเสด็จสู่สวรรคาลัย แต่พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ยังคงเป็นเส้นใยแห่งความรักที่พระองค์ทรงฝากไว้ให้แผ่นดิน เป็นเครื่องเตือนใจถึงพระเมตตาอันลึกซึ้ง และพระราชกรณียกิจที่ทรงอุทิศเพื่อวัฒนธรรมไทยอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย









“แม้พระองค์จะจากไป แต่ผ้าไทยยังคงเปล่งประกาย ด้วยแสงแห่งพระราชปณิธานที่ไม่เคยเลือนหาย”