นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เดินทางมาที่กองบังคับการปราบปราม เพื่อให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ในคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ เจ๊อ้อย แจ้งความดำเนินคดีกับ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความกับพวก ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 71ล้านบาท
โดยนายปานเทพ ระบุถึงคดีฉ้อโกงเงิน มูลค่า 39 ล้านบาท เชื่อว่ามีความคืบหน้าแน่นอน มีความชัดเจนแล้วว่า ผู้ถูกกล่าวหาแบ่งเงินกันอย่างไร แบ่งไปให้ใคร รวมทั้งมีการติดต่อผ่านทางไลน์จากต่างประเทศ ในขณะนี้ตัวเจ๊อ้อยและตำรวจได้ทราบข้อเท็จจริงแล้ว
อีกหนึ่งประเด็นที่สังคมสงสัย คือกรณีที่ทนายตั้ม พยายามให้เจ๊อ้อยรับลูกชายของตัวเองเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งพบว่าแท้ที่จริงแล้ว เมื่อปี 2565-2566 มีการทำพินัยกรรมอยู่ 2 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกยังไม่มีผู้จัดการมรดก แต่ครั้งที่ 2 มีการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรม โดยมีทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก หลังจากนั้น เจ๊อ้อยได้พบพิรุธ จึงทำพินัยกรรมฉบับใหม่ขึ้นมากับหน่วยงานราชการ แต่ทนายตั้มยังไม่คืนพินัยกรรมฉบับที่ตนเองเป็นผู้จัดการมรดก โดยอ้างว่าได้ทำลายพินัยกรรมฉบับนั้นแล้ว แต่ไม่เคยทำลายต่อหน้าเจ๊อ้อยเลย
นอกจากนี้ ยังพบว่า มีการติด จีพีเอส ในรถเบ๊นซ์ รวมทั้งพา เจ๊อ้อย ไปสถานที่ที่ไม่มีสัญญาณ จีพีเอสอีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้ตนเชื่อว่าทั้งหมดจะประกอบเป็นรูปคดี ให้มีความแน่นหนาและแข็งแรงมากขึ้น
ส่วนในรายละเอียดพินัยกรรมที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก ว่าจะยกอะไรให้ใครบ้างนั้น นายปานเทพ ระบุว่า จะมีการเปิดเผยในรายการสนธิทอล์ค เมื่อถึงเวลาสมควร แต่คร่าวๆก็คือเป็นพินัยกรรมทั้งหมดของเจ๊อ้อย ที่เป็นเงินในต่างประเทศ
นายปานเทพ ยังระบุว่า วันนี้ทางเจ๊อ้อย และคณะได้เดินทางมาที่บ้านพระอาทิตย์เป็นครั้งที่ 3 เพื่อมาขอบคุณคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และได้บอกเล่าเรื่องราวหารือกันมากมาย ก่อนจะกลับฝรั่งเศส ทั้งนี้เจ๊อ้อยยังฝากขอบคุณสื่อมวลชนทุกค่ายที่ให้การสนับสนุนในการทำข่าวเรื่องนี้