วันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หรือเชน ธนา กับ ภรรยา พร้อมทนายความ เดินทางมาที่กองบังคับการปราบปรามเพื่อรับทราบข้อหาตามหมายเรียก ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกง ค่าผลิตสินค้า มูลค่า 79 ล้านบาท
หลังจากเดินทางมาถึงเชนได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาและให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนจะออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน พร้อมกับนำหลักฐานมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ เชน บอกว่า ตัวเองปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยืนยันว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งตั้งแต่ต้น หลังจากนี้ยังมีโอกาสให้สืบ รวมทั้งจะเรียกพยานมาให้ข้อมูล ว่าตัวเองไม่ได้มีเจตนาฉ้อโกง
ส่วนหนี้ยอด 79 ล้านบาท เชนชี้แจง โดยนำภาพถ่ายในโกดังสินค้า มาแสดงต่อสื่อมวลชน เพื่อยืนยันว่าตอนนี้สินค้าทั้งหมดยังอยู่ในโกดังสินค้าเหมือนเดิม เพื่อตอกย้ำว่าตัวเองคือผู้เสียหาย โดยสินค้ามีทั้งหมด 2 ล็อต และยังอยู่ครบทั้งหมด เจ้าหน้าที่ตำรวจเคยได้เข้าไปตรวจสอบแล้ว และได้ชี้แจงแล้วว่าตัวเองไม่ได้นำสินค้าไปจำหน่าย เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในบริษัท
พร้อมยืนยันว่าตัวเองมีเอกสาร ให้ทางคู่กรณีมารับสินค้าคืน จากนั้นคุณเชนได้นำรูปภาพตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารเสริม มาแสดงต่อสื่อมวลชนระบุว่าผลิตภัณฑ์เม็ดสีเหลือง เป็นตัวอย่างสินค้าที่ทางคู่กรณีนำมาแสดงให้กับตนเอง จึงมีการตกลงซื้อขายกัน แต่หลังจากรับสินค้ามาและเปิดกล่องแรกปรากฏว่าสินค้าภายในเป็นเม็ดสีส้ม พอเห็นก็รู้สึกตกใจ เพราะสินค้าไม่ตรงกับสิ่งที่คุยกันตอนเสนอขาย
เชน ยอมรับว่า สินค้าล็อตดังกล่าว เป็นสินค้าที่ขายยากที่สุดในชีวิต ถึงขั้นว่า วางจำหน่ายในทีวีไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองซื้อโฆษณาสื่อไปแล้ว จึงจำเป็นต้องโยนเทปนั้นทิ้ง ยังไม่รวมกับค่าที่ตัวเองซื้อป้ายโฆษณาบิลบอร์ดไป ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นคดีที่อยู่ในแพ่งหมดแล้ว นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเรียกคืนกล่องทั้งประเทศ ซึ่งในคดีแพ่งตัวเองเรียกไปทั้งหมดกว่า 60 ล้านบาท สาเหตุที่ตัวเองขาดทุนเยอะในปี 2564 ส่วนหนึ่งก็มาจากสินค้าล็อตนี้
เชน ยังกล่าวว่า ตนมองว่ามันเป็นคดีแพ่ง บริษัทกับบริษัทซื้อขายกัน วันนี้ตนอาจจะต้องยื่นพยาน และนำเอกสารหลักฐานหลายอย่างมาชี้แจง มีข้อมูลจุดหนึ่งที่ตนเองส่งให้พนักงานสอบสวน เช่น ข้อมูลแชทคนบางคน บอกให้พูดในเรื่องที่ อย.ห้ามพูดในการโฆษณาสินค้า แชทดังกล่าวบอกให้พูดเลย เดี๋ยวเสียค่าปรับให้ ตรงนี้ขอไม่พูดชื่อว่าเป็นใคร
ช่วงหนึ่งผู้สื่อข่าวถามว่าตอนนี้ธุรกิจเป็นอย่างไร โดยเชน ได้ร้องไห้แล้วบอกขอพักแป๊บนึง ก่อนที่จะยกมือและกล่าวว่า ”จะหาว่าผมมาแกล้งร้องไห้นะ“ ตนเองสู้มาหลายปีแล้ว ใช้หนี้มาตลอด เชื่อว่าเจ้าหนี้เข้าใจตนเอง ในเรื่องขายของถ้ามีโอกาสได้สู้ตนเองก็จะสู้ เรื่องคดีตนมองว่าเป็นแพ่งจริงๆ หากเป็นเรื่องสัญญาซื้อขาย ถ้าเป็นหนี้ศาลบอกให้จ่ายตนก็จะทำงานหาเงินใช้หนี้
นอกจากนี้ ’เชน ธนา‘ ยังระบุอีกว่า ตนเตรียมใจตั้งแต่มีข่าวว่าต้องโดนทัวร์ลงแน่ แต่วันนี้พบว่าจะมีคอมเม้นต์ที่ให้กำลังใจและบอกว่าใช้สินค้าของตนแล้วดีทำให้รู้สึกชื่นใจขึ้นมา ทำให้รู้สึกว่าคุณภาพของสินค้ามันสำคัญและตนเองเอาทั้งชีวิตใส่ลงไปในแบรนด์นี้แล้ว พร้อมระบุว่าตอนนี้อายตัวเองมาก
ตอนนี้คดีแพ่งได้มีการตัดสินให้ตนเองจ่ายเงินตามสัญญาซื้อขาย แต่ตนได้ยื่นอุทธรณ์ไปตามขั้นตอน ซึ่งถ้าจนถึงที่สุดแล้วศาลยังเห็นควรว่าต้องจ่ายตนเองก็พร้อมจ่าย ยอมรับว่าตอนนี้ตนเองเครียด เพราะตอนนี้ตนเองมีลูก 5 คน การทำธุรกิจร่วมกันจริงๆ เหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า และมีสัญญาซื้อขายเมื่อเกิดอะไรขึ้นมองว่าควรเป็นเรื่องของแพ่ง ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมากดดัน
ยืนยันตนเองมีพยานหลักฐานแน่นพอว่าเป็นเรื่องสัญญาซื้อขาย วันนี้ตนเองก็เสียหายเหมือนกันเพราะที่ผ่านมาธุรกิจ ก็มีการซื้อขายมาอย่างต่อเนื่อง สร้างงานสร้างอาชีพให้หลายคนก็อยากให้ความยุติธรรมกับตนเองด้วย
ส่วนที่ตนเองเลื่อนนัดเข้าพบตำรวจก่อนหน้านี้มีเอกสารการขอเลื่อนทุกอย่างแต่ไม่ขอลงรายละเอียด ซึ่งตนพึ่งมาเห็นจดหมายในตู้ไปรษณีย์คืนก่อนวันนัด และเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบริษัทไม่ใช่เฉพาะตนเองคนเดียว จึงต้องขอเวลาในการเตรียมเอกสารก่อน
‘เชน ธนา’ ยอมรับว่าต่อให้ไม่มีเรื่องนี้ ตนกับภรรยาก็เหนื่อยมาหลายปีแล้ว ตนถึงขั้นบอกกับตัวเองว่าไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุข ที่มีคนบอกว่าตนอวดบ้านอวดรถมันเกิดก่อนที่จะเจอวิกฤตเศรษฐกิจตอนโควิด
สำหรับคดีอาญาที่มารับทราบข้อกล่าวหาวันนี้ ตนเองก็ยังมีโอกาสนำพยานหลักฐานมาต่อสู้ และบอกได้ว่าสิ่งที่ออกอากาศในรายการโหนกระแส คลาดเคลื่อนหลายอย่างแต่ตนขอไม่พูด จะนำไปต่อสู้ในชั้นศาล หากท้ายที่สุดโชคร้ายจริงๆ ก็คงขอยื่นประกันตัวตามกระบวนการ ขอบคุณสื่อที่ให้โอกาสได้ชี้แจง
ประเด็นที่ว่าตนเองโดนคดีฉ้อโกง และ พ.ร.บ.เช็ค ในคดีอื่นนั้น โดยศาลชั้นต้นได้ยกฟ้อง และยืนยันว่าตนเองไม่ได้ฉ้อโกง ส่วนเรื่องเช็คเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ ยอมรับว่าเคยถูกตัดสินลงโทษจำคุกเรื่องนี้จริงและขอประกันตัวออกมา แต่ก็เป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ
เมื่อถามว่าอยากพูดอะไรถึงคู่กรณีหรือไม่ เชน ธนา ตอบว่าก่อนจะถึงคู่กรณี ตอนนี้ตนอยากขอความเห็นใจ ธุรกิจของตนหากไม่ได้ไลฟ์ขายของ 4 วัน บริษัทก็น่าจะเจ๊งแล้ว ขอบอกเจ้าหนี้ทุกคนว่าตั้งแต่ ปี 2564 ก็ใช้หนี้ไปหลายล้านแล้ว ธุรกิจของตนมีปัญหาจริงๆ แต่ต้องคงดำเนินต่อไป เพราะยังมีพนักงานอีกกว่า 100 ชีวิตและครอบครัวที่ต้องดูแล
เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับภรรยาเรื่องนี้หรือไม่ เชน ธนา ตอบว่าตอนนี้ไม่กล้าแม้จะแตะต้องตัวกันเพราะจะร้องไห้ทันที ช่วงท้าย ยืนยันว่าหากเป็นหนี้ก็ต้องรับผิดชอบ เมื่อถามว่าตอนนี้ธุรกิจเจ๊ง หรือยัง เชน ธนา ระบุว่า มันยังมีความสามารถในการขายของอยู่ แต่ถ้ามาดูมูลหนี้อาจจะเยอะกว่าทุน