วันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ที่กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 เมืองทองธานี นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ให้สัมภาษณ์สื่อฯ ถึงกรณีที่นายษิทรา และภรรยา ถูกตำรวจกองบังคับการปราบปรามจับกุมบนถนน ขณะเดินทางไปทำบุญที่จังหวัดฉะเชิงเทราว่า ที่ผ่านมาทนายตั้ม มีสายขาวอยู่ใกล้ใกล้ชิดกับศาล จึงมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ถูกออกหมายจับ แต่หลังจากที่วันนี้ศาลอนุมัติหมายจับ ทนายตั้มก็รู้ก่อน และเชื่อว่ากำลังจะเดินทางหลบหนีออกนอกประเทศ ทางช่องทางธรรมชาติ โดยการช่วยเหลือของคนมีสี คนหนึ่ง เหมือนเช่นหลายคดีที่ทนายตั้มถูกออกหมายจับและเดินทางมาที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งขนาดจับกุมจะเห็นว่าทนายตั้ม พยายามโทรศัพท์หาคนมีสีคนนั้น แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือแล้ว อีกครั้งตัวเองยังมั่นใจว่าทนายตั้ม จะไม่ได้ประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน เพราะพฤติกรรมของทนายตั้มร้ายแรง และมียอดมูลค่าความเสียหายสูง มีพฤติกรรมข่มขู่พยาน , ยุ่งเหยิงหลักฐาน ซึ่งตนเองต่อสู้กับทนายตั้มมาถึง 6 ปี รู้พฤติกรรมดีว่าเป็นคนอย่างไร วันนี้ถึงเวลาที่ต้องรับกรรมจากการกระทำที่ตัวเองก่อมา
ส่วนนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของทนายตั้มที่ถูกออกหมายจับด้วยนั้น ส่วนตัวเชื่อว่ารู้เห็นพฤติกรรม และให้การช่วยเหลือสามีทั้งหมด ส่วนจะมีเส้นเงินไปถึงหรือไม่นั้น เชื่อว่าตำรวจจะสามารถสืบสวนสอบสวนทางคดีได้
นายอัจฉริยะ ยังได้เปิดเผยถึงคดีเงิน จำนวน 39 ล้านบาท ที่ทนายตั้มเป็นผู้พา “นายนุ” และนางสาวสา เข้าแจ้งความกับตำรวจนครบาลบางซื่อ จากนั้นได้พาไปพบกับพี่อ้อย พร้อมกับแนะนำให้จ่ายแคชเชียร์เช็คจำนวน 39 ล้านบาท โดยไม่มีการขีดค่อม จากนั้น “นางสาว ม.” เป็นคนไปเบิกเงินจำนวนนี้มาให้กับทนายตั้ม จำนวน 29 ล้านบาท ส่วน“นายนุ” ได้ไป 10 ล้านบาท มีการแบ่งหน้าที่กันทำเป็นขั้นเป็นตอนชัดเจน โดยอาศัยความใจดี และไม่รู้เรื่องเงินดิจิตอลของพี่อ้อย มาใช้เป็นประโยชน์ในการหลอกลวง
และเมื่อถามถึงกรณีที่ทนายตั้มและนายอัจฉริยะจับมือเลิกแล้วต่อกัน นายอัจฉริยะบอกว่า การจับมือครั้งนั้นเป็นเรื่องเรื่องส่วนตัว เพราะมีคดีความต่อกัน แต่กรณีนี้เป็นประโยชน์ส่วนรวม ที่ทนายตั้ม ได้ทำกรรมเอาไว้กับผู้เสียหายหลายคน และบางรายไม่กล้าออกมาต่อสู้ เพราะตัวทนายตั้มเองมีสำนักงานกฎหมาย และรู้จักกับผู้ใหญ่หลายคน จนคู่กรณีต้องยอมจำนนหมด เชื่อว่า วันนี้ไม่ใช่แค่ตัวเองที่รอคอย แต่ก็มีผู้เสียหายหลายคนรอคอยเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้นายอัจฉริยะ ยังได้เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ ( 8 พ.ย. ) ช่วงเวลา 10.00 น. ตนเองจะเดินทางไปที่กองปราบปราม ไม่ใช่ไปเยี่ยมทนายตั้มและภรรยา แต่จะนำหลักฐานข้าราชการทีโอทีปลอมสูติบัตร และบัตรประชาชนที่ต่ออายุราชการโดยมีข้าราชการกระทรวงมหาดไทยช่วย โดยทนายตั้ม มีการแถลงข่าวผ่านสื่อมวลชนหลายช่อง แต่สุดท้ายเรื่องกลับเงียบ จึงสงสัยว่ามีการเคลียร์เพื่อปิดเรื่องดังกล่าวโดยไม่ชอบมาพากลหรือไม่ จึงยื่นเรื่องให้ ผู้บังคับการ ปปป. สืบสวนสอบสวนในเคสดังกล่าวหากพบการกระทำผิดให้ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป