วันที่ 9 ตุลาคม 2567 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ แสดงความยินดีและเผยความเห็นต่อกรณีที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ มีมติเอกฉันท์แต่งตั้ง พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ช เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คนที่ 15 โดยทนายตั้ม ได้ขอแสดงความยินดีกับพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ ที่ได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งภารกิจต่อไปที่ประชาชนหลายคนฝากความหวังไว้ คือการทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติลดความขัดแย้ง เลิกทะเลาะ กัน และมุ่งมั่นทำงาน เพื่อประชาชน เช่น การปราบปรามเว็บพนันออนไลน์ เพราะยุคสมัยที่ผ่านมาเป็นยุคที่เว็บพนันเฟื่องฟูมากที่สุด และมีตำรวจไปรับสินบนพวกเว็บพนันเหล่านี้ ซึ่งตนอยากจะให้พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ ได้โชว์ฝีมือ เพราะทราบว่าที่ผ่านมาไม่เคยได้รับผลประโยชน์จากส่วนนี้ จึงอยากให้ทำเต็มที่ รวมไปถึงเรื่องการปราบปรามยาเสพติด หากสองเรื่องนี้ทำสำเร็จก็ถือว่าผ่าน แต่ถ้ายังทำไม่สำเร็จแสดงว่าความสามารถอาจจะยังไม่ถึง อาจส่งผลให้อยู่ไม่ครบวาระหรือหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้คงต้องสอบถามนายกรัฐมนตรี
ส่วนกรณีจี้อาจจะมีการยื่นตรวจสอบจริยธรรมนายกรัฐมนตรีกรณีแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทนายตั้มบอกว่า ผู้ที่จะมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะต้องมีคุณสมบัติทั้งในเรื่องของความอาวุโสและความรู้ความสามารถ ซึ่งความอาวุโส พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ เป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว เพราะคนที่ 1 จริงๆ ท่านได้มีคำสั่งให้ออกจากราชการไปแล้ว
ส่วนคุณสมบัติที่ระบุว่าจะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเนื่องจากตำรวจเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายที่จะต้องทำงานใกล้ชิดกับประชาชนและทำงานควบคู่กับนายกรัฐมนตรีในการทำงานอาชญากรรม ซึ่งหากตำรวจที่ไม่เคยผ่านงานสืบสวน ไม่เคยผ่านงานปราบปรามอาจจะมีปัญหา เพราะเท่าที่ทราบยังไม่เคยเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจ เพียงแต่เติบโตมาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างเดียว จึงจะต้องมีการพิสูจน์ว่าจะสามารถทำงานได้ดีหรือไม่
ส่วนจะ ยื่นตรวจสอบจริยธรรมหรือไม่ ทนายตั้ม บอกว่า ตอนนี้ขอรอพิสูจน์ก่อน หากทำงานไม่ได้ก็จะรวบรวมหลักฐาน เพราะสิ่งที่ตนทำจะต้องมั่นใจ หากไปยื่นฟ้องอาจถูกดำเนินคดีกลับได้
ขณะเดียวกันวันนี้ ทนายตั้มได้ ไปยื่นหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบ ว่าที่ร้อยตรีอภิสัคค์ พรหมสวาสดิ์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานบังคับคดี เนื่องจากมีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ โดยพบบ้านในโครงการหรู ทั้งในสนามกอล์ฟ และกลางเมืองหลวงกว่า 10 หลัง รวมถึงให้ตรวจสอบรถมากกว่า 10 คัน ว่าเป็นการได้มาจากตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่
ทนายตั้ม บอกว่า ตนได้สืบทราบมาหลายอย่างเกี่ยวกับรองอธิบดีอัยการคนนี้ ทั้งในเรื่องการรับเงินสดมาจากการไปวิ่งเต้นคดีในหลายกรณี โดยใช้บัญชีม้า 2 บัญชี ในการรับโอนเงินและถอนเงิน โดยแต่ละครั้งรับโอนจำนวนหลักแสนถึงหลักล้าน ซึ่งขณะนี้ได้เลขบัญชีมาแล้ว จึงจะให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบบัญชีดังกล่าวรวมถึงสอบปากคำถึงรายละเอียด
อีกทั้งยังสืบทราบว่า รองอธิบดี อัยการคนนี้ยังชอบสะสมบ้าน มีบ้านร่วมกัน 50 หลัง แต่ที่ตนมีหลักฐานขนาดได้มาประมาณ 10 กว่าหลัง โดยเวลาไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ รองอธิบดีอัยการคนนี้จะไม่ใส่ชื่อตัวเอง แต่จะใส่ชื่อแม่ ที่อายุประมาณ 90 ปี หรือภรรยา
นอกจากนี้ ยังมีรถมากกว่า 10 คัน เช่น ยี่ห้อ BMW , BENZ แต่เท่าที่ทราบมีมากกว่านี้ แต่จะต้องมีการตรวจสอบต่อไป
ทนายตั้มยังบอกว่า ข้าราชการทุกวันนี้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนเองไปประพฤติมิชอบในการรับเงินมาอย่างถูกต้อง และหาคนร้องเรียนเรื่องนี้ค่อนข้างยาก ตนจึงอาสามาทำเรื่องนี้ ซึ่งข้อมูลที่ได้มาทางทีมงานได้ไปช่วยถ่ายรูปดูบ้านเลขที่และนำมาให้ ป.ป.ช. เพื่อให้เจ้าหน้าที่ ตรวจสอบซึ่งอาจเข้าข่ายมีความร่ำรวยผิดปกติ