สถานการณ์ภัยแล้งกำลังคุกคามพื้นที่หลายแห่งทั่วโลก เช่นเดียวกับที่ประเทศเม็กซิโก ภัยแล้งกำลังส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิตของประชาชนในประเทศอย่างมาก
โดยประชาชนชาวเม็กซิโกเข้าร่วมพิธีกรรมขอฝนบริเวณเขตโบราณสถานกุอิกูอิลโก (Cuicuilco) ในกรุงเม็กซิโกซิตีของเม็กซิโก เมื่อวันศุกร์ (3 พ.ค.) ที่ผ่านมา ภายหลังจากที่เม็กซิโกกำลังเผชิญภัยแล้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2554
ทำให้ต้องมีการระงับจ่ายน้ำให้ประชาชนในหลายพื้นที่ รวมถึงกรุงเม็กซิโกซิตี้ เมืองหลวงและยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเม็กซิโก ที่ถูกระงับการจ่ายน้ำมานานหลายสัปดาห์ ในขณะที่บางพื้นที่มีประกาศการจ่ายน้ำเฉพาะในบางช่วงเวลาเท่านั้น
ผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้มีรายงานการลักลอบขโมยน้ำ การซื้อขายน้ำที่ผิดกฏหมาย โดยรัฐบาลประเมินว่า มีน้ำราว 10% ถูกขโมยไปขายอย่างไม่ถูกต้อง และมีอีกราว 11% ที่เกิดขึ้นจากการรั่วออกจากท่อ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการลักลอบขโมยน้ำนั่นเอง
ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเม็กซิโกต้องระดมกำลังจัดตั้งชุดต่อสู้กับการขโมยน้ำที่เกิดขึ้น รวมถึงแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของน้ำที่เกิดขึ้นจากการลักลอบขโมยเหล่านี้ด้วย
ในขณะที่น้ำประปาที่มีจ่ายให้ประชาชนก็ไม่ได้คุณภาพ เนื่องจากน้ำที่สูบขึ้นมามีสภาพเป็นตะกอนสีน้ำตาลขุ่น ซึ่งแหล่งน้ำต้นทุนอยู่ในภาวะแห้งขอดจากฝนแล้ง และสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทำให้การระเหยของน้ำในแหล่งน้ำมีมากยิ่งขึ้น
แย่งชิงน้ำข้ามประเทศ
ทางการท้องถิ่นของเท็กซัส และเม็กซิโก ต้องเร่งแก้ไขปัญหาสนธิสัญญาปี 1944 ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างเกษตรกรทั้งสองประเทศที่กำลังประสบภัยแล้งอย่างหนัก โดยสนธิสัญญาดังกล่าว ถูกเขียนให้มีการจัดสรรทรัพยากรน้ำร่วมกัน และในรอบ 5 ปี เม็กซิโกจะต้องส่งน้ำกว่า 2 ลูกบาศก์เมตรจากแม่น้ำริโอแกรนด์ ไปยังสหรัฐฯ
แต่ในขณะนี้ เข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว เม็กซิโกสามารถจัดส่งน้ำไปยังเท็กซัสได้เพียง 30% เท่านั้น ซึ่งอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1992 ตัวแทนของรัฐเท็กซัสระบุว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลให้โรงงานน้ำตาลแห่งสุดท้ายในรัฐเท็กซัสต้องปิดตัวลง ปริมาณน้ำที่ได้รับก็ไม่เพียงพอกับการทำการเกษตรในเท็กซัส
ทางด้านของเม็กซิโกระบุว่า ยังคงปฏิบัติตามสนธิสัญญาดังกล่าว ซึ่งในสัญญาได้มีระบุว่า กรณีที่เกิดภัยแล้งที่ผิดปรกติ เม็กซิโกสามารถยืดอายุเวลาในการจัดส่งน้ำให้กับเท็กซัสออกไปได้