“บิ๊กทิน” เอาจริง ลดอัตรานายพล! เล็งตำแหน่งผู้ทรงฯ ตั้งเป้าให้เหลือน้อยกว่า 300 จาก 2,000 นาย ภายในปี 70 จ่อลดชั้นยศ “พันเอก (พิเศษ)” 570 อัตรา พร้อมเพิ่มแรงจูงใจ จ่ายเงินก้อน ชวนเออรี่ก่อนเกษียณ ชี้ใช้งบ 600 ล้านบาท 3 ปี คาดเข้าสภากลาโหมเดือนหน้า เชื่อชงเข้าครม. ทันงบปีนี้ มั่นใจโครงการปีนี้นายพลแฮปปี้แน่นอน
.
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมฝ่ายการเมือง เปิดเผยกรณีนโยบายการปรับลดจำนวนนายพลทุกเหล่าทัพ ในตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ของนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า รัฐมนตรีได้กำชับให้ แต่ละเหล่าทัพ เร่งทำความเข้าใจกับกำลังพล ในโครงการนี้ อย่างต่อเนื่องเพื่อลดจำนวนนายพล ในตำแหน่งดังกล่าวเกินความจำเป็น ลงกว่า 50% ภายใน 3 ปี หรือเหลือน้อยกว่า 300 คน ในปี 2570 ซึ่งที่ผ่านมามีชั้นนายพลประมาณ 2,000 นาย โดยเป็นกำลังหลักประมาณ 1,300 นาย ซึ่งกำลังหลักจำเป็นต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ความมั่นคงของโลก และในภูมิภาค รวมทั้งรูปแบบในยุทธวิธีต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีสงครามไซเบอร์หรือ Cyber warfare และเรื่องอวกาศเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนจำนวนนายพลกว่า 700 นายในตำแหน่งประจำ ได้เริ่มดำเนินการมาก่อนแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเป็นผลสัมฤทธิ์เป็นไปตามเป้าหมาย
.
ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำหนดนโยบายเร่งรัดให้มีผลสัมฤทธิ์ ในช่วงรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ในปี 2568 – 2570 โดยนายพลในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ จะต้องลดลงให้เหลือน้อยที่สุดตามความจำเป็นของกองทัพ อีกทั้งยังให้นโยบายสร้างแรงจูงใจในการลดจำนวนชั้นยศ “พันเอก (พิเศษ)” ที่จะขึ้นไปเป็น “นายพล” ในอนาคต ให้ลดลงอีกกว่า 570 อัตรา เพื่อให้สอดรับกับตำแหน่งนายพลที่จะลดลงไปด้วย
.
เป็นวิสัยทัศน์ของ รมว.กลาโหม ที่ให้นโยบาย ในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แก้ปัญหาการลดนายพล แต่ฐานนายพันเอกพิเศษยังมีมาก ก็จะไปสร้างปัญหาใหม่ในอนาคต ซึ่งนโยบายนี้ กองทัพยังสามารถปฏิบัติงาน และอาชีพทหารยังมีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าได้อีก และยังเป็นการสร้างความมั่นคงให้กองทัพอีกด้วย
.
“มั่นใจโครงการเออร์รี่นายพล ผู้รับใช้ชาติต้องอยู่ดีมีเกียรติ คาดกพ.นี้นำเข้าสภากลาโหม ก่อนชงเข้าครม.ทันในงบปีนี้” นายจิรายุ กล่าว
.
นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำชับให้จัดทำนโยบายสร้างแรงจูงใจให้นายทหารเกษียณก่อนกำหนด Early Retire เช่น การจ่ายเงินชดเชย หรือ “เงินก้อน” ประมาณ 7 แสนบาท ขึ้นอยู่กับชั้นยศ และเวลารับราชการ ซึ่งจะมีสูตรคำนวณชัดเจน รวมทั้งสิทธิบำเหน็จ/บำนาญ ก็จะได้รับตามปกติ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ และกำลังใจต่อกำลังพลของกองทัพ เมื่อตัดสินใจในช่วงนี้ ถือว่าได้สิทธิประโยชน์มากที่สุด เมื่อเทียบกับโครงการที่ผ่าน ๆ และในการบริหารของรัฐบาล จะสามารถลดภาระงบประมาณประเทศในระยะยาวอีกด้วย
.
ส่วนความคืบหน้า ถือว่าเป็นนโยบายสำคัญของรัฐมนตรี ซึ่งปัจจุบันได้จัดทำรูปแบบข้อเสนอ/แรงจูงใจต่าง ๆ แล้ว อยู่ในขั้นตอนรับฟังความเห็นจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยก่อนสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะนำเข้าที่ประชุมสภากลาโหม จากนั้นจะนำเข้า ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติ “แผนและกรอบงบประมาณ” เพื่อให้มีผลบังคับใช้ทันปีนี้ดังนั้น ในช่วงการเกษียณอายุราชการของข้าราชการในเดือนตุลาคม 2567 นี้ สำหรับโครงการนี้จะใช้เงินงบประมาณของกระทรวงกลาโหมประมาณ 600 ล้านบาท ภายใน 3 ปี (2568 – 2670 ) หรือเฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปี
.
นายจิรายุ กล่าวอีกว่า แม้ที่ผ่านมากองทัพจะมีแผนปรับลดจำนวนนายพล “ระยะยาว” ปี 2551 – 2571 แต่นโยบายครั้งนี้ จะผลักดันให้บรรลุเป้าหมาย รวดเร็วขึ้น “ภายใน 3 ปี” โดยเน้นกลุ่มพลตรี – พลโท – พลเอก ในตำแหน่ง ได้แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ – ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ “ทุกเหล่าทัพ” ทั้งนี้ที่ผ่านมาพบว่าในช่วงรัฐบาล คสช. ปี 2557 – 2561 เคยทำโครงการเกษียณก่อนกำหนด “ทุกชั้นยศทุกตำแหน่ง” โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการมากกว่า 26,000 ตำแหน่ง จึงเชื่อว่าโครงการลดนายพลครั้งนี้จะได้รับการตอบรับดีอย่างแน่นอน