กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย บก.ปปป. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกันจับกุม นางมทิราฯ อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 ที่ จ.116/2566 ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2566หลังโกงเงินผู้ต้องขังกว่า 1,000 คน ร่วม 3 ล้านบาท
สืบเนื่องจากเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2556 ได้มีเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางนครสวรรค์ ระดับชำนาญการ( ซี7 ) โกงเงินผู้ต้องขังในเรือนจำ ทั้งเงินฝาก และเงินสวัสดิการร้านค้า ไปจำนวนกว่า 3 ล้านบาท โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย เชิดเงินไปหลายหน ตรวจสอบพบกว่า 145 ครั้ง รับเอาเงินไปใช้จนหมดตัว จนปัจจุบันต้องมาซุกตัวทำงานอยู่ลิสซิ่งแห่งหนึ่งใจกลางเมืองกำแพงเพชร หลบหนีหมายจับกว่า 10 ปี
เจ้าหน้าที่จึงได้นำทีมชุดจับกุมจึงบุกรวบหน้าลิสซิ่งดังกล่าว แสดงหมาย ยืนยันตัวบุคคลชัดเจนแล้วรับสารภาพว่าเป็นบุคคลตามหมายจริง และไม่เคยถูกจับในคดีนี้ ก่อนนำตัวส่งดำเนินการตามกฎหมาย ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 6 จังหวัดพิษณุโลกต่อไป
โดยเรือนจำกลางนครสวรรค์ ถือเป็นเรือนจำที่มีขนาดใหญ่ มีผู้ต้องขังกว่า 3,000 ราย โดยส่วนมากเป็นคดีเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และโดยปกติผู้ต้องขังจะสามารถใช้เงินภายในเรือนจำได้วันละไม่เกิน 500 บาทเท่านั้น ซึ่งการรับฝากเงิน และเก็บเงินสวัสดิการของผู้ต้องขังนี้ ญาติของผู้ต้องขังอาจนำเงินฝากไว้ไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งผู้ต้องหารายนี้ก็ปลอมเอกสารใบเสร็จให้ทุกครั้ง ใบจริงให้กับญาติผู้ต้องขังเขียนตรงตามที่ฝาก แต่สำเนาทำปลอมขึ้นให้น้อยกว่าจำนวนจริงเพื่อจะได้นำเงินยักยอกเข้ากระเป๋าตนเอง ยากแก่การตรวจสอบจากบุคคลภายนอก เพราะญาติของผู้ต้องขังมีโอกาสน้อยในการที่จะได้พบผู้ต้องขัง เพียงเดือนละ 1 ครั้งเท่านั้น จึงไม่ทราบว่าชีวิตความเป็นอยู่และการใช้เงินภายในเรือนจำของนักโทษที่แท้จริงเป็นอย่างไร
จึงเปิดช่องให้ผู้ต้องหานี้ ใช้อำนาจหน้าที่ของตนยักยอกเอาทรัพย์สินส่วนนี้ไปใช้จนหมด ทราบว่าเอาไปเล่นการพนันบอลออนไลน์ได้อย่างชะล่าใจ เนื่องจากตนรับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงินมานานกว่า 20 ปี จนเกิดความชำนาญและเห็นช่องว่างในการทุจริต ตกแต่งบัญชีซึ่งอาจส่งผลต่อความเป็นอยู่ภายในเรือนจำของผู้ต้องขัง ซึ่งในส่วนนี้เป็นความเสียหายเพียงแค่ส่วนที่ตรวจสอบพบเท่านั้น และอาจมีอีกหลายครั้งที่ตบตาจนแนบเนียนยากแก่ตรวจสอบ
พ.ต.อ. ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ กล่าวว่า ผู้ต้องหารู้อยู่แก่ใจดีว่ามีการติดตามตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมาย จึงได้หลบหนีมาตลอด และบอกกับทางบ้านของตนเองว่า หากมีเอกสารหมายเรียก ไม่ต้องติดต่อมาหาตนเด็ดขาด เพื่อตัดช่องทางไม่ให้เจ้าหน้าที่ติดตามได้ แต่ก็ไม่รอดพ้นจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. ซึ่งเชื่อว่ายังมีกรณีดังกล่าวในหน่วยงานราชการอีกหลายแห่งที่อาจมีการดำเนินการในลักษณะนี้ แต่ยังตรวจสอบไม่พบ โดยทาง บก.ปปป. จะได้ดำเนินการสืบสวนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายผลจับกุมและยึดทรัพย์สินเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการต่อไป