วันที่ 21 ธันวาคม 2566 นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่น้องชมพู่ เปิดเผยว่า หลังจากที่วานนี้ (20 ธ.ค. 66) ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาคดีน้องชมพู่ ได้สั่งจำคุก นายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” 20 ปี จากฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี และยกฟ้อง นางสาวสมพร หลาบโพธิ์ หรือ “ป้าแต๋น” ภรรยาของนายไชย์พล ล่าสุดก็จะยังมีการอุทธรณ์เพิ่มอีก

แม่น้องชมพู่ ยังบอกด้วยว่า หลังจากที่เห็นมาในชั้นศาล เชื่อว่าจะสามารถไปต่อได้ในชั้นอุทธรณ์ เมื่อถามว่า นอกจากบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษา จะยังมีบุคคลอื่นที่มีส่วนร่วมรู้เห็นกับคดีนี้อีกหรือไม่ แม่น้องชมพู่มองว่า มีมากกว่าหนึ่งคนตามที่ทุกคนได้เห็น แต่ก็ต้องมีการพิสูจน์อีกครั้ง

ด้านนายอนามัย วงษ์ศรีชา พ่อน้องชมพู่ กล่าวว่า หลังฟังคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ก็รู้สึกโล่ง และสบายใจขึ้นเยอะ ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ต้องรอดูต่อไป

ขณะที่นายพิสิษฐ์ ตรัยเจริญเมธากุล ทนายความแม่น้องชมพู่ เปิดเผยแนวทางด้านคดีว่า ตามหลักแล้วหากต้องการยื่นอุทธรณ์หลังฟังคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จะต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน 1 เดือน แต่เนื่องจากคดีนี้มีรายละเอียดและเอกสารจำนวนมาก ประกอบกับพยานบุคคลที่ขึ้นเบิกความต่อศาลหลายปาก จึงต้องใช้เวลาเรียบเรียงข้อมูลในการอุทธรณ์อย่างละเอียดรอบคอบ ระยะเวลา 1 เดือนอาจจะไม่เพียงพอ จึงอาจจะต้องขยายระยะเวลาอุทธรณ์ไปอีก 1-2 ครั้ง

ทั้งนี้ จากการว่าความพยานตั้งแต่ปากแรก-ปากสุดท้าย รวมไปถึงพยานหลักฐานต่างๆ และหลักฐานทางนิติเวช-นิติวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างสอดคล้องกันตามคำวินิจฉัยพิพากษาของศาล

ส่วนสิ่งที่จะมียื่นการอุทธรณ์เพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนของโจทย์ร่วมก็มองว่า ต้องให้ศาลแก้ 2-3 ข้อหาที่ยกไป หรือ ไม่เห็นด้วยบางส่วน เช่น เรื่องการกระทำโดยประมาททำให้ถึงแก่ความตาย เราไม่เห็นด้วย เราจะยื่นอุทธรณ์ในประเด็นนี้ว่า “เจตนาทำให้ตายโดยเล็งเห็นผล” อุทธรณ์ในส่วนของการทอดทิ้งเด็ก และอุทธรณ์ในส่วนของการดัดแปลงสภาพศพ

เมื่อถามว่า คิดอย่างไรกับคำว่าความจริงก็คือความจริง ทนายพิสิษฐ์ กล่าวว่า “ความจริงมีเพียงสิ่งเดียว เหมือนพระอาทิตย์ที่ขึ้นทางตะวันออก และตกทางตะวันตก”