คัดลอก URL แล้ว
ทารก 18 วันติดเชื้อโรคไอกรนเสียชีวิต

ทารก 18 วันติดเชื้อโรคไอกรนเสียชีวิต

ทารก 18 วันเสียชีวิตจากการติดเชื้อโรคไอกรน สาเหตุจากร่างกายยังไม่มีภูมิคุ้มกันได้รับเชื้อจากคนใกล้ชิดในบ้าน ทางด้านนายแพทย์อนุรักษ์ สารภาพ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 จนถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 จังหวัดปัตตานีมีผู้ป่วยไอกรนแล้ว จำนวน 72 คน กระจายในหลายอําเภอ และล่าสุดเป็นทารกที่ติดเชื้อจากคนในบ้าน

ขณะที่แนวโน้มการติดเชื้อยังคงสูงขึ้น สาเหตุหนึ่งเกิดจากการอัตราการรับวัคซีนของเด็กในพื้นที่จังหวัดปัตตานี น้อย ทั้งที่โรคไอกรนและอีกหลายๆโรคเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน จึงอยากประชาสัมพันธ์ให้ ผู้ปกครองนําบุตรหลานรับวัคซีนพื้นฐานตามเกณฑ์อายุ ได้ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านหรือสํานกั งานสาธารณสุขจังหวัด ปัตตานี หมายเลขโทรศัพท์ 043-460234 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

โรคไอกรน (Pertussis) เป็นโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจชนิดหนึ่งที่มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย บอร์เดเทลลา เพอร์ทัสซิส หลังติดเชื้อในช่วงแรกจะมีอาการคล้ายเป็นหวัด เช่น ไอ มีไข้ น้ํามูกไหล หลังจากนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการไอต่อเนื่องอย่างรุนแรงและมีเสียงไอที่เป็นเอกลักษณ์หรือเสียงดัง วู้ป (ไอมีเสียงที่เกิดจากการ หายใจลําบาก) จึงมีอีกชื่อเรียกว่า Whooping Cough เป็นที่มาของชื่อไอกรนในภาษาไทย ในทารกหรือเด็กเล็ก อาจไม่พบอาการไอ แต่จะมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจเป็นหลัก ไอกรนเป็นโรคติดต่อจากคนสู่คน โดยเชื้อสามารถ แพร่กระจายได้จากการไอหรือจาม ทารกและเด็กเล็กจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากที่สุด ซึ่ง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

สำหรับการรักษาโรคไอกรน : การรักษามีจุดมุ่งหมายเพื่อประคับประคองตามอาการและลดการแพร่กระจายของเชื้อฯ สําหรับผู้ป่วยเด็กทารกหรือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อดูแลอย่างใกล้ชิด  เกี่ยวกับระบบการหายใจ หรือมีการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดําร่วมด้วยหากผู้ป่วยมีอาการของภาวะขาดน้ำ ผู้ป่วยไอกรนที่อยู่ในระหว่างการรักษาสามารถรับมือและดูแลตัวเองที่บ้านให้ดีขึ้นได้ ด้วยการปฏิบัติตามแนวทาง ดังต่อไปนี้ :

– นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ในอุณหภูมิที่เหมาะสมแก่การนอน

– ดื่มน้ำมาก ๆ ทั้งน้ำเปล่า น้ำผลไม้ ควรระวังการเกิดภาวะขาดน้ำโดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็ก สามารถสังเกตได้จากหลายอาการ เช่น ปากแห้ง ร้องไห้ไม่มีน้ำตา ปัสสาวะน้อยลงและมีสีเข้ม เป็นต้น

– รับประทานอาหารมื้อเล็กลง เพื่อหลีกเลี่ยงการอาเจียนหลังอาการไอ

– อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศปลอดโปร่ง ปราศจากตัวกระตุ้นที่ทําให้เกิดการไอ เช่น ควันบุหรี่ ควันไฟ เป็นต้น

การป้องกันไอกรน : โรคไอกรนเป็นโรคที่ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน แพทย์จะฉีดวัคซีนรวม คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน โดยเด็กที่มีอายุต่ํากว่า 7 ปี เริ่มฉีด 3 เข็มแรกเมื่อเด็กที่มีอายุ 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน และเข็มที่ 4 เมื่อเด็กมีอายุ 18 เดือน จากนั้นควรฉีดวัคซีนกระตุ้น (Booster Dose) เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันหลังฉีด ครบชุด 4 ครั้งแรกแล้ว ตอนอายุ 4-6 ปี และเด็กที่มีอายุมากกว่า 7 ปี ผู้ใหญ่ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว แนะนําให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นทุก 10 ปี เนื่องจากวัคซีนที่ได้รับในวัยเด็กจะหมดลงในช่วงวัยรุ่น และในผู้ที่กําลัง ตั้งครรภ์ แพทย์จะแนะนําให้ฉีดวัคซีนในช่วงสัปดาห์ที่ 27 และ 36 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งอาจช่วยปกป้องทารก จากโรคไอกรนในช่วง 2-3 เดือนแรกหลังการคลอดอีกด้วย

#ทารก18วันเสียชีวิตจากไอกรน #โรคไอกรน #ปัตตานี #ข่าวโมโน #MONONEWS #MONO29 #สังคมอยากรู้ดูข่าวโมโน


ข่าวที่เกี่ยวข้อง