ภายหลังการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี วานนี้ (22 ส.ค. 2566) มติรัฐสภาเสียงข้างมา 482 เสียง เห็นชอบให้ ‘นายเศรษฐา ทวีสิน’ จากพรรคเพื่อไทย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ท่ามกลางความยินดีของ สส. และแกนนำเพื่อไทย โดยภายหลังทราบผลการลงมติ นายเศรษฐาให้คำมั่นจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด พร้อมเดินหน้ายกระดับความเป็นอยู่ประชาชนคนไทยทุกคน
ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยได้ประกาศไว้ 8 เรื่องสำคัญ ทั้งเติมรายได้ให้คนไทยทุกครอบครัวไม่น้อยกว่า 2 หมื่นบาทต่อเดือน เช่น ครอบครัวไหนมีรายได้ 15,000 ก็จะเติมเงินให้ทันทีอีก 5,000 ในระยะชั่วคราว จนกว่านโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนจะสำเร็จ, สนับสนุนไทยเป็นบล็อกเชน ฮับ และฟินเทค เซนเตอร์ ของอาเซียน เพื่อให้คนไทยระดมทุนจากทั่วโลกได้
การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 เพื่อทวงคืนอากาศสะอาด, เปิดประตูการค้า เดินสายสร้างความสัมพันธ์กับทั่วโลก, หนังสือเดินทางไทย ไม่ต้องขอวีซ่า ก็เดินทางได้ทั่วโลก, ยกเลิกเกณฑ์ทหาร เปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ และส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ
ขณะที่นโยบายเด่น คือ เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ให้ทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ใช้จ่ายใกล้บ้านในรัศมี 4 กิโลเมตร ทำให้ร้านค้าในชุมชน ผู้ผลิตทั้งเอสเอ็มอีจนถึงอุตสาหกรรมขายสินค้าได้เพิ่มขึ้น กระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับประเทศ ซึ่งนายเศรษฐา ได้ประกาศนโยบายนี้ไว้ในช่วงการหาเสียง
ทั้งนี้ภายหลังผลโหวตนายกรัฐมนตรี โดยเป็นที่แน่ชัดว่านายเศรษฐา ได้คะแนนเสียงเห็นชอบเกินกึ่งของสมาชิกรัฐสภา ได้เกิดกระแสในโซเชียลมีเดีย พร้อมใจกันเอ่ยถึง “นโยบายเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท” ดังกล่าว โดยส่วนใหญ่กล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่าพร้อมแล้วสำหรับการรับเงินดังกล่าว