นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนภายหลังฟังคำพิพากษาจากศาลฎีกา ว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองในขั้นอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาว่า ตนและจำเลยคนอื่นๆที่ถูกคณะกรรการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฟ้อง ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา ถือว่าคดีนี้สิ้นสุด ใครที่เคยกล่าวหาสงสัยตนมาเป็น 10 ปี วันนี้ก็ได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์อย่างชัดเจนแล้ว ตนขอใช้โอกาสนี้กราบขอบคุณพี่น้องประชาชน ผู้ที่หวังดีทั้งหลาย คนที่เคารพนับถือที่ให้ความเชื่อมั่นในตนเอง มาโดยตลอด และได้ให้กำลังใจ และที่มาให้กำลังใจที่นี่ในวันนี้ ต้นขอกราบขอบคุณ และซาบซึ้งในน้ำใจ
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า มีความภาคภูมิใจในชีวิตที่เป็นนักการเมือง ไม่เคยทำทุจริต ไม่เคยทำการคอรัปชั่นใดๆแม้จะถูกรุมใส่ร้าย ด้วยความตั้งใจที่จะเล่นงานตนเอง ท้ายที่สุกกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ก็ได้ให้ความเป็นธรรมกับตน สมกับที่ตนเคารพในหลักการของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เคารพ ในศาลยุติธรรม ตนจึงคิดว่ากรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ที่ผู้ใช้อำนาจทั้งหลาย ควรจะต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง คนที่ควรจะต้องรับผิดชอบอย่างยิ่งวันนี้คือคณะกรรมการปปช ซึ่งดูข้อเท็จจริงดีทุกอย่าง แต่ก็ยังดำเนินคดีกับตน ทั้งที่ศาลฎีกา แถลงคดีอาญา ตัดสินแล้วว่าตนไม่มีความผิดก็ยังยื่นอุทธรณ์อีก จึงอยากให้ทางป.ป.ช.พิจารณาตนเองสร้างความเสียหายให้กับตน ทำให้ตนเดือดร้อนมาเป็น 10 ปีเสียชื่อเสียงไม่รู้เท่าไหร่
เมื่อถามว่ามองไปถึงขั้นตอนการฟ้องร้องหรือเรียกร้องให้เกิดการเยียวยา ในความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เยียวยาหรือไม่ตนไม่สนใจ เพราะไม่ได้ตั้งใจจะไปเรียกร้อง แต่จะปรึกษากับที่ปรึกษากฎหมาย ถ้ามีช่องทางที่จะทำให้ดำเนินคดีกับป.ป.ช.ได้ จะดำเนินคดี ไม่ใช่ความโกรธเคืองแต่อย่างใด
เมื่อถามว่าหลังจากนี้ หากถูกทาบทาม จะหวนคืนสู่เส้นทางหนึ่งทางการเมืองหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่ครับ เมื่อตัดสินใจ ออกจากสส. มาเดินนำขบวน ตนก็ได้ประกาศกับพี่น้องประชาชนแล้ว ตนไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเองตนทำเพื่อชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นไม่เอาชื่อเสียงความสำเร็จและผลพลอยได้โอนมาเป็นคะแนนเสียงของตัวเองในทางการเมือง ขนาดตนประกาศอย่างนี้และเลือกได้มา 2 ครั้งก็ยังมีคนมาด่าตนอยู่ทุกวัน แต่ก็ต้องอดทนพี่น้องประชาชนที่สนใจการเมืองหรือนักการเมืองดีๆก็ดูกรณีของตนและบอกตัวเองว่าให้อดทนดีที่สุด
และในฐานะที่เป็นนักการเมืองมาอย่างยาวนานมีอะไรฝากถึงนักการเมืองที่ยังคงติดอยู่ในวังวนเกมการเมืองหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ผมเรียนได้อย่างเดียวว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องสัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้น การมาเป็นนักการเมืองต้องปฏิบัติตามหลักสัมมาทิฏฐิ คือต้องมีความคิดความเห็นที่ถูกต้อง มาทำงานการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน ไม่ใช่ทำการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ลึกของพวกพ้องหรือแม้แต่พรรคตัวเอง
ถ้านักการเมืองยึดหลักนี้ จะเป็นนักการเมืองที่ควรค่าแก่การส่งเสริมประชาชนก็สามารถพึ่งพาได้ แต่ถ้านักการเมืองคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง ละเลยผลประโยชน์ของชาติไม่คิดถึงความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติโดยส่วนรวม นักการเมือง เรานั้นก็ไม่สมควรจะเป็นนักการเมืองที่เราให้ความสนใจ หรือไปยกย่องสรรเสริญมองว่าไม่สมควร
นายสุเทพกล่าวว่าถึงการเมืองปัจจุบัน การเมืองไม่มีนิ่งซึ่งเป็นธรรมชาติของการ แต่ว่าเราทุกคนต้องมีความตั้งใจดีต่อบ้านเมืองเป็นหลัก จุดมุ่งหมายของเราได้ทางการเมืองเพื่อให้ประเทศอยู่รอดปลอดภัยให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจเป็นหลักประกันแห่งความมั่นคง ซึ่งตนมองเรื่องสถาบัน พระมหากษัตริย์เป็นการมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ทั้งนี้ ตนขอชื่นชมพี่น้องส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่นและรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และนี่จะเป็น เรื่องที่ดีที่สุดของประเทศไทยไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน
เมื่อถามว่ามองอย่างไรสำหรับว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ที่จับมือกัน ทั้งที่ผ่านมาอยู่คนละขั้วกัน นายสุเทพกล่าวว่า เราอย่ายึดมั่นถือมั่นว่าเราเป็นคนละขั้วกัน เรามีความคิดต่างกันก็เราไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ อย่าเอาอารมณ์แบบนี้มาพิจารณาเรื่องของบ้านเมือง ไม่ว่าฝ่ายใดก็แล้วแต่สามารถเปลี่ยนใจมาทำงานร่วมกันได้เพียงแค่ยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศชาติ
ช่วงท้ายนายสุเทพบอกว่า ระหว่างที่ขึ้นฟังคำอ่านพิพากษาของศาลฎีกาไม่ได้เจอกับนายทักษิณ ก่อนจะหัวเราะแล้วบอกว่า “เขาไม่เอามาเจอกันหรอกครับ”
เมื่อถามว่าโล่งใจหรือไม่ เมื่อ ศาลฎีกาพิพากษาไม่มีความผิด นายสุเทพ กล่าวว่า “ผมมั่นใจมาตลอด ในสิ่งที่ผมท คือผมได้เปรียบอย่างหนึ่งคือตอนที่ผมเป็นรัฐมนตรี เวลาสั่งการอะไรไปผมเก็บเอกสารไว้ทั้งหมด ดังนั้นเวลามีคนกล่าวหาจึงสามารถเข้าถึงหลักฐานแบบนี้ และสามารถสู้คดีได้