วันที่ 9 ส.ค.66 ที่บช.สอท. นาย มาริโอ้ เมาเร่อ นักแสดงชื่อดัง พร้อมด้วยทนายความ เดินทางเข้าพบพล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. , พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ผบก.สอท.2 พ.ต.อ.สุวัฒชัย ศรีทองสุข ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.2 เพื่อให้ปากคำหลังจากถูกออกหมายเรียกเพื่อมาให้ปากคำกรณีที่ไปมีส่วนเชื่อมโยงกับการครอบครองรถยนต์ที่สวมทะเบียน โดยมีรายงานว่านักแสดงหนุ่มได้เดินขึ้นลิฟท์จากชั้นใต้ดินของอาคารที่ทำการบช.สอท ไปยังห้องสอบปากคำชั้น 3 ทันทีเพื่อหลบเลี่ยงสื่อมวลชนที่มาสังเกตการณ์ทำข่าว
มีรายงานว่านักแสดงหนุ่มได้เข้าให้ปากคำกับทางพนักงานสอบสวนบช.สอท.และชุดสืบสวน โดยมีการนำเอกสารการซื้อ-ขายรถ และหลักฐานบางส่วนมามอบให้เจ้าหน้าที่เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ กระทั่งเวลาผ่านไปนานกว่า 2 ชม. นักแสดงหนุ่มพร้อมทนายความได้เดินออกจากห้องสอบปากคำ โดยปฎิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ ซึ่งระหว่างทางได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวสั้นๆว่าไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตนเอง ได้ให้ข้อมูลและหลักฐานกับทางพนักงานสอบสวนไปหมดแล้ว ในรายละเอียดไม่สามารถบอกได้เนื่องจากอยู่ในสำนวนและให้ข้อมูลไปหมดแล้ว ก่อนที่ทางมาริโอ้จะเดินทางกลับทันที
ต่อมาพล.ต.ต. อำนาจ ไตรพจน์ รองผบช.สอท. ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ในวันนี้มีการสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 3 ราย ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายรถเบนซ์ G300 ประกอบไปด้วย นักแสดงหนุ่ม,นายก้อง และพี่ชายของนายก้อง ซึ่งนายก้องเป็นรุ่นพี่ที่ขายรถให้กับมาริโอ้ โดยทั้งหมดได้ถูกแยกสอบปากคำกับคนละห้อง โดยความสัมพันธ์นักแสดงหนุ่มได้ระบุว่า ก่อนหน้าเคยซื้อเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจจากนายก้องจนมีความสนิทสนมและไว้ใจกัน รู้จักกันมา 2 ปี แต่ไม่เคยซื้อขายรถกันมาก่อน
โดยนายก้องได้เสนอขายรถ Benz G300 ให้กลับมาริโอ้ในราคา 1,500,000 บาท เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา โดยที่ตัวนักแสดงหนุ่มยังไม่ได้เห็นรถตัวจริง และมีการทำสัญญาวางมัดจำไว้ 500,000 บาทก่อน โดยมีกำหนดภายใน 60 วันจะต้องส่งมอบรถ ระหว่างนั้นได้มีการโอนชื่อในเล่มรถ แต่เมื่อถึงกำหนดก็ยังไม่ได้รถทางนายก้องจึงคืนเงินมัดจำให้กับมาริโอ้ แต่ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองคืน
จากการสอบสวนเบื้องต้นเชื่อว่า มาริโอ้น่าจะ ไม่ได้จงใจซื้อรถสวมทะเบียน แต่พนักงานสอบสวนก็จะต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ว่ามาริโอ้ไม่ได้มีเจตนาจงใจที่จะซื้อรถเถื่อน แต่หากภายหลังพบว่ามีเจตนาก็ถือว่ามีความผิด ซึ่งจากการที่พบว่าเล่มทะเบียนรถคันดังกล่าวมีชื่อของมาริโอ้เป็นผู้ครอบครองคนสุดท้าย ทาง กรมการขนส่งทางบกจึงยังไม่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงโอนทะเบียน เพราะต้องตรวจสอบย้อนหลังที่มาว่ามีใครเคยเป็นผู้ครอบครองบ้าง
โดยระหว่างการให้ปากคำนักแสดงหนุ่มได้แสดงความบริสุทธิ์ใจและให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ซึ่งมีบางช่วงเวลาที่มีความกังวล เนื่องจากเจ้าตัวไม่ได้มีเจตนาซื้อรถผิดกฎหมาย และคิดว่าตนเองและรุ่นพี่ก็โดนหลอกเช่นกัน เบื้องต้นทราบเพียงว่าเป็นการปลอมแปลงข้อมูลรถมาจากต้นขั้ว ซึ่งตนไม่ทราบรายละเอียดมากนัก เมื่อไม่ได้รถ รุ่นพี่ก็คืนเงินให้ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตน ก่อนซื้อรถทุกครั้งจะตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้มีปัญหา โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 2 เดือนก่อน ซื้อรถราคาล้านกว่าบาท เห็นว่ามีเอกสารถูกต้องก็ไม่คิดว่ารถจะมีปัญหาอะไร ทำให้หลังจากนี้จะต้องระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเดิม รองผบช.สอท. กล่าว
ในส่วนของการขยายผล ทาง พนักงานสอบสวนได้มีการออกหมายเรียกผู้ครอบครองรถต้องสงสัยทั้ง 65 รายมาให้ข้อมูล ซึ่งเบื้องต้นได้ทยอยเดินทางมาให้ปากคำกับทางพนักงานสอบสวนเหลือเพียงสองถึงสามรายที่ยังอยู่ระหว่างการ เดินทางเข้าพบเนื่องจากอยู่ที่ต่างประเทศ นอกจากนี้ชุดทำงานอยู่ระหว่างรอผลสอบสวนวินัยของทาง คณะกรรมการสอบสวนที่อธิบดีกรมขนส่งทางบกตั้งขึ้น
รวมทั้งผลตรวจรถของกลาง จากเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเพื่อนำมาประกอบสำนวนอย่างไรก็ตามคดีนี้ตรวจสอบพบแล้วว่า ขบวนการดังกล่าวได้เจาะข้อมูลสวมทะเบียนรถไปจำนวน 65 คัน โดยในจำนวนดังกล่าวจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ รถที่มีตัวตนจริงและทะเบียนพร้อม และอีกกลุ่มคือ มีแต่ทะเบียนรถ แต่ไม่มีตัวรถ ซึ่งขณะนี้ตำรวจยึดรถมาได้แล้ว 16 คัน