นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงทิศทางการโหวตนายกรัฐมนตรี ภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญเลื่อนการพิจารณาสั่งคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ขอให้พิจารณากรณีรัฐสภามีมติไม่เห็นชอบกับการเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมไปถึงทางทางประธานรัฐสภามีคำสั่งให้เลื่อนวาระการโหวตเลือกนายกฯ รอบที่ 3 ในวันที่ 4 ก.ค. ออกไปก่อน
โดยทางเจ้าตัวระบุว่า สำหรับการเลื่อนโหวตนายกรัฐมนตรีออกไปนั้น ทุกอย่างก็คงขึ้นอยู่กับทางประธานรัฐสภา ในการดูความเหมาะสมและความชัดเจนในส่วนของกรอบกฎหมาย เพื่อที่จะไม่ได้มีปัญหาในอนาคต ยอมรับว่าก่อนที่จะมีประกาศของศาลออกมานั้น ทางพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ได้มีการนัดพูดคุยและหารือกัน แต่เมื่อผลออกมาเป็นแบบนี้ทางพรรคเพื่อไทยเองก็ได้แจ้งมาว่าอาจจะขอเลื่อนการหารือในวันนี้ไปก่อน จากเดิมที่มีกำหนดการพูดคุยกันในช่วง 13.00 น. ของวันนี้
ส่วนมองว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ดูแล้วค่อนข้างจะไม่ราบรื่นเหมือนครั้งก่อนๆหรือไม่นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าเป็นไปตามระบบ และเชื่อว่าทุกคนอยากเห็นความชัดเจนของข้อกฎหมาย ส่วนถามว่าจะส่งผลดีต่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้มีเวลาในการดีลกับพรรคอื่นๆ ในส่วนนี้ตนเองคิดว่าไม่ได้มองเป็นเรื่องที่ดี เพราะรัฐบาลใหม่ควรได้รับการจัดตั้งโดยเร็ว เพราะ ณ ตอนนี้ตั้งแต่เลือกตั้งมาผ่านไปนานกว่า 3 เดือน แต่กลับไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งในส่วนของรัฐบาลรักษาการเอง จะมีอำนาจเต็มแต่การที่มีรัฐบาลใหม่ที่เป็นทางการคงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า และสานต่อในงานที่ไม่สามารถทำได้
ส่วนกรณีที่ “นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ” ได้ออกมาโจมตี “นายเศรษฐา ทวีสิน ” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับเรื่องในอดีต ในส่วนนี้พรรคภูมิใจไทยเองมีการตั้งคำถามหรือมีการสอบถามไปยังทาง “นายเศรษฐา” หรือไม่ รวมไปถึงปมเกี่ยวกับคำพูดในอดีตที่มีการหาเสียงเรื่อง ม.112 ในส่วนนี้ทาง ” นายอนุทิน” บอกว่า พรรคภูมิใจไทยได้มีการแจ้งและบอกรายละเอียดกับทางพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลไปแล้ว ว่าส่วนตัวในของพรรคภูมิใจไทยมีแนวทางอย่างไร ตามที่ได้แถลงการณ์ไปเมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา
ส่วนเรื่องคุณสมบัติของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคนั้น ตนมองเป็นเรื่องส่วนตัวซึ่งทางพรรคอื่นไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือยุ่งในมุมของพรรคเขา ส่วนตัว หากทางพรรคแกนนำ รับข้อเสนอในส่วนของกรอบของพรรคตนได้ก็ถือว่าจบ แต่ในส่วนของประวัติหรืออดีตของคนที่พรรคอื่นจะเสนอชื่อนั้น ไม่ขอก้าวก่าย เป็นเรื่องของพรรคใครพรรคมัน ส่วนประเด็นที่มีการขุดคุ้ยคลิปเสียงของ “นายเศรษฐา” เรื่องมาตรา 112 ในอดีตช่วงที่มีการหาเสียง ตนมองว่ามันก็เป็นเรื่องที่ทางพรรคและหากเจ้าตัวจะต้องออกมาชี้แจง แต่เข้าใจในสถานการณ์ ณ ตอนนั้น
ส่วนถามว่ากรณีของพรรคภูมิใจไทย กับ พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้มีเงื่อนไขกับพรรคอื่นๆหรือไม่ นายอนุทิน กล่าว่า ก่อนที่จะจัดตั้งรัฐบาลจะต้องมีหลักประกันเกี่ยวกับจำนวนเสียงของการโหวตนายกรัฐมนตรี ว่าต้องมี 275 เสียงในมือ ตนมองว่าเรื่องนี้ไม่สามารถที่จะพูดได้ว่าจะมีหลักประกันเป็นคะแนนเสียงเท่านั้นเท่านี้ เพราะ ไม่ได้มองเป็นหน้าที่ของพรรคใดพรรคหนึ่งแต่จะต้องเป็นในส่วนของพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลที่จะต้องช่วยกัน ย้ำพรรคภูมิใจไทยเน้นคำเดิมตามกรอบที่เเถลงไปก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ถามเมื่อถามว่าหากทางพรรคภูมิใจไทยต้องร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย โดยไร้เงาพรรครวมไทยสร้างชาติ และ พรรคพลังประชารัฐ ในส่วนนี้ทางพรรคภูมิใจไทยพร้อมไปเดี่ยวหรือไม่ นายอนุทิน ระบุว่า เดิมการจัดตั้งรัฐบาลกรอบของพรรคภูมิใจไทยก็อยู่ในแถลงการณ์ ส่วนตัวเน้นย้ำต้องไม่ก้าวก่ายเรื่องของพรรคอื่น และยืนยันไร้สัญญาใจว่าหากพรรคภูมิใจไทยไป จะต้องมี 2 พรรคขั่วเดิมพ่วงไปด้วย อย่างที่บอกว่าถ้าเเพ็กกับขั้วเดิมก็จะได้เสียงข้างน้อยเราเองจะไม่จัด เพราะพรรคภูมิใจไทยมองว่าอยากให้การจัดตั้งรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นมีความมั่นคง ซึ่งต้องอาศัยเสียงข้างมาก แลพย้ำไม่เคยมีใครทำกันที่ต้องจูงมือกันไป
ส่วนหลายคนมองว่าถ้าไม่มี 2 พรรคที่กล่าวถึงอาจจะไม่สามารถฝ่าด่าน สว.ได้ นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของพรรคแกนนำที่จะต้องไปพูดคุยและเจรจา ซึ่งตนเชื่อว่าพรรคแกนนำเองก็คงจะเข้าใจว่าหาเหตุผลในการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งก่อนติดขัดหรือติดในเรื่องปมอะไร เมื่อได้รับการแก้ไขแล้วก็เชื่อว่าคงไม่มีปัญหา