จากกรณีที่กลุ่มวากเนอร์ นำโดยเยฟกินี พริโกซิน หัวหน้ากลุ่มแวกเนอร์ ได้ประกาศนำขบวนกองกำลังวากเนอร์บุกเมืองรอสตอฟเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยระบุว่า ต้องการทวงความยุติธรรมให้กับทหารที่เสียชีวิตจากการถูกโจมตีด้วยจรวด ซึ่งพริโกซินอ้างว่า มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพรัสเซียอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้
ทำให้ประธานาธิปดีวลาดิเมียร์ ปูตินได้ออกแถลงการณ์ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ถือเป็นการกระทำที่แทงข้างหลังต่อประเทศ และประชาชนชาวรัสเซีย ในขณะที่ตนเองกำลังต่อสู้เพื่อชีวิตและความมั่นคงของประชาชน ท่ามกลางประเทศที่ต้องการความสามัคคีเป็นกำลังที่สำคัญ
โดยปูตินยังได้ระบุว่า การก่อจราจลด้วยอาวุธที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อประเทศและส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงจำเป็นต้องปกป้องประเทศและบ้านเกิดของเรา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ถือเป็นการ “กบฎ” โดยมีการใช้อาวุธ และภัยคุกคามดังกล่าวจะต้องได้รับการตอบโต้ที่รุนแรงและเด็ดขาด ซึ่งกองทัพรัสเซียพร้อมที่จะยุติความพยามในการแทงข้างหลังในครั้งนี้
ปูตินกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองรอสตอฟฯ ว่า เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก เมื่อกลุ่มกบฎมีอาวุธ การทำงานของฝ่ายบริหาร พลเรือน และทหารถูกปิดกั้น แต่เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องรัสเซีย และกองทัพรัสเซียจะดำเนินการที่จำเป็น และเด็ดขาดเพื่อรักษาเสถียรภาพ
“ผมจะทำทุกวิถีทาง เพื่อปกป้องประเทศ และผู้ที่ก่อกบฎที่มีอาวุธจะต้องรับผิดชอบ ขอให้หยุดการกระทำเสียแต่ตอนนี้”
นอกจากนี้ ปูตินยังได้กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดเหตุการณ์นี้ว่า จากการต้องการผลประโยชน์ที่มากเกินไป นำไปสู่การทรยศต่อประเทศในครั้งนี้ และยังพาดพิงถึงการแทรกแซงจากภัยนอกว่า ต้องการแบ่งแยกประเทศนี้ออกกัน
ประกาศมาตรการต่อต้านก่อการร้าย
ทางการรัสเซียยังได้ประกาศใช้มาตรการการต่อต้านการก่อการร้ายในภูมิภาคมอสโกและโวโรเนจ รวมถึงภูมิภาคอื่น ๆ ด้วย ซึ่งนี้เป็นครั้งแรกของรัสเซียที่มีการประกาศบังคับใช้มาตรการนี้
ในขณะเดียวกัน ยังได้ประกาศให้ทหารในกองกำลังวากเนอร์ถอนตัวกลับไปยังที่ตั้งถาวร และไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงจากพริโกซิน ผู้นำกองกำลังของวากเนอร์ โดยหากปฏิบัติตาม รัสเซียยืนยันว่า ทุกคนจะปลอดภัย พร้อมกันนี้ ยังได้ยืนยันว่า ข่าวการรายงานว่า กองทัพรัสเซียอยู่เบื้องหลังการโจมตีกองกำลังวากเนอร์เป็นข่าวปลอม
ซึ่งเมื่อช่วงสาย (ตามเวลาในประเทศไทย) กองกำลังของรัสเซียได้เข้าปิดล้อมอาคารที่ระบุว่า เป็นที่ตั้งสำนักงานของกลุ่มวากเนอร์ ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก แล้ว
เชเชนประกาศจะปราบปรามวากเนอร์
Ramzan Kadyrov ผู้นําเชเชน ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ ภายหลังจากสิ้นสุดถ้อยแถลงของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินว่า การกระทำของวากเนอร์ถือเป็นการแทงข้างหลังประเทศ และจะส่งกองกำลังชาวเชเชนเข้าปราบปรามกลุ่มวากเนอร์ที่ก่อกบฎ พร้อมทั้งเรียกร้องให้กองทัพรัสเซียลุกขึ้นต่อสู้ โดยไม่ยอมแพ้ต่อการยั่วยุต่าง ๆ
หลายประเทศกำลังเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิด
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรปและกลุ่มนาโต กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากคาดว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะลุกลามบานปลายได้