KEY :
- เครือข่ายภาคประชาชน ออกมาเคลื่อนไหวภายใต้แคมเปญ ‘ไม่สู้ก็อยู่บ้านลาด’ คัดค้านการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด
- ระบุ หากนำกัญชากลับเข้าไปเป็นยาเสพติดอีกครั้งจะสร้างผลเสียที่รุนแรง อาทิ ประชาชน-ผู้ปลูกกัญชา จะถูกดำเนินคดี เป็นการนำปัญหาไปไว้ใต้พรมดังเดิม
- มองว่าควรปรับเปลี่ยนเนื้อหาใน พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเงื่อนไขอนุสัญญาเดี่ยว 1961 ขององค์การสหประชาชาติ (UN)
วานนี้ (15 พ.ย.65) เครือข่ายภาคประชาชนที่สนับสนุนร่างพระราชบัญญัติกัญชา ได้ออกมาเคลื่อนไหวภายใต้แคมเปญ ‘ไม่สู้ก็อยู่บ้านลาด’ คัดค้านการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ที่ถนนข้าวสาร หลังจากตัวแทนพรรคก้าวไกล ได้เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ร้องเรียนการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข และคณะกรรมการ ป.ป.ส. โดยมีการเสนอแนะให้มีการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ซึ่งเป็นกฏหมายที่มีผลในการปลดล็อกกัญชาออกจากเป็นพืชยาเสพติด
โดยมีเหตุผลในการจัดกิจกรรม ระบุว่า วันนี้มีความพยายามที่จะนำกัญชากลับเข้าไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เรามองว่าจะสร้างผลเสียที่รุนแรงไม่แพ้กัน ประชาชนจำนวนมากจะต้องถูกดำเนินคดีในฐานะอาชญากร คนที่ปลูกกัญชาจะถูกจับในข้อหาผลิตยาเสพติด อยากพัฒนาในด้านต่าง ๆ ทำอยู่ในกรอบกติกาก็จะต้องติดร่างแหนี้ไปด้วย และทุกอย่างก็จะกลับลงไปอยู่ใต้ดิน โดยรัฐไร้ความสามารถในการควบคุม และปัญหาเดิม ๆ ยังคงอยู่ไม่ได้รับการแก้ไขใด เป็นเพียงแค่เอาปัญหาไปไว้ใต้พรมดังเดิม
ในฐานะประชาชนจึงออกมาร่วมกันคัดค้านการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด โดยเสนอทางออกให้ทำการปรับเปลี่ยนเนื้อหา พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ด้วยการใช้โมเดลควบคุมการใช้กัญชาในเชิงสันทนาการอย่างเป็นระบบจนสอดคล้องกับข้อกำหนดเงื่อนไขอนุสัญญาเดี่ยว 1961 ขององค์การสหประชาชาติ (UN) เพื่อให้การใช้กัญชาในประเทศได้มาตรฐาน สามารถค้าขายนำเข้า-ส่งออกกับตลาดกัญชา-กัญชง ในระดับโลกได้