KEY :
- ปวีณา หงสกุล พาผู้เสียหายวัย 16 ปี ที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศเมียนมา เข้าร้องเรียนต่อพลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล
- เป็นคนติดต่อมาทางเฟซบุ๊ก ทำทีชวนพาไปเที่ยว จ.ตาก ก่อนหลอกให้ไปทำงานร้านคาราโอเกะ ที่เมียนมา และบังคับค้าประเวณี
- ส่วนอีกเคสเป็นผู้เสียหายอีก 7 ราย ที่ถูกหลอกไปบังคับทำงานหลอกลวงลงทุนคริปโต ที่ประเทศฟิลิปปินส์
วันนี้ ( 12 กันยายน 65 ) ที่ สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี พาผู้เสียหายวัย 16 ปี ที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศเมียนมา พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานการสนทนาหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ต และโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อพูดคุยเข้าร้องเรียนต่อ พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.)เพื่อขอให้สืบสวนติดตามและดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายข้ามชาติกลุ่มนี้
ทั้งนี้ นางปวีณา กล่าวว่า กรณีของผู้เสียหายอายุ 16 ปีที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศเมียนมานั้น พ่อกับแม่ของน้อง เป็นคนบุรีรัมย์ แต่มาทำงานก่อสร้างที่ปากเกร็ด จึงไม่ค่อยมีเวลาดูแล น้องต้องอยู่กับตายาย จนมีคนติดต่อมาหาน้องผ่านทางแชทเฟซบุ๊ก ตอนแรกทำทีชวนไปเที่ยวที่จังหวัดตาก น้องก็ไว้ใจ ขอแม่ไป ตอนที่ไปตอนแรกก็ยังส่งรูปมาให้ดูว่าเขาดูแลอย่างดี
แต่ภายหลังกลับถูกหลอกชักชวนให้ข้ามไปทำงานร้านคาราโอเกะที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา และบังคับให้ค้าประเวณี น้องจึงส่งข้อความหาแม่ บอกว่าอยากฆ่าตัวตาย แม่จึงมาร้องเรียนที่มูลนิธิปวีณาฯ และได้ประสานกับทางทหารไทย ร่วมกับทางทหารเมียนมาชุดทำงาน TBC ไปเข้าค้น ซึ่งการช่วยเหลือค่อนข้างยากและใช้เวลานาน เพราะจุดดังกล่าวอยู่ใกล้กับพื้นที่การสู้รบ และมีลักษณะของการเปิดเป็นซ่อง คาราโอเกะอยู่หลายที่มาก แต่สุดท้ายก็สามารถช่วยเหลือน้องกลับมาได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังมีคนไทยที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีในประเทศเมียนมาและรอความช่วยเหลือในหลายพื้นที่ เข่น พื้นที่ตอนเหนือของเมียนมา ซึ่งเป็นเขตปกครองของจีน ซึ่งต้องประชุมหารือกับทางตำรวจต่อไปว่าจะเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างไร
ด้านแม่ของผู้เสียหายอายุ 16 ปี ที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ประเทศเมียนมา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ลูกสาวได้ติดต่อมาหาทางแชท บอกว่าอยากกลับบ้าน ซึ่งตอนนั้นตนเข้าใจว่าลูกอยู่ที่จังหวัดตาก เลยถามว่าให้พ่อไปรับไหม แต่ลูกบอกว่า ข้ามไปอยู่ฝั่งเมียนมาได้เกือบ 1 เดือนแล้ว กลับไม่ได้ ขอให้แม่ช่วย แล้วก็พยายามส่งข้อความมาหาตลอด บอกแต่ว่าจะให้ช่วยพากลับบ้าน แอบวิดีโอคอลมาหาแล้วร้องไห้ พยายามแอบถ่ายรูปมาให้ดูว่าอยู่ที่ไหน และส่งโลเคชั่นมาให้ ตนไม่รู้จะทำอย่างไร เลยมาร้องเรียนกับทางมูลนิธิปวีณาฯ
ซึ่งตนก็เพิ่งมารู้ว่า ก่อนหน้านี้ลูกสาวถูกชักชวนให้ไปทำงานในร้านคาราโอเกะ แต่กลับกลายเป็นโดนบังคับให้ค้าประเวณีด้วย แต่ลูกไม่ยอมทำ ก็จะถูกบังคับให้ทำงานในร้านทุกวัน แต่ไม่ให้เงิน และไม่มีอิสระ ทำงานเสร็จก็ต้องอยู่แต่ในห้องทึบ ๆ มีคนไทยด้วยกันคอยคุมตลอด จะไปไหนก็มีคนเดินตาม ส่วนโทรศัพท์มือถือที่ใช้ติดต่อมาหาตน ลูกสาวแอบเอาพกติดตัวไปด้วย โดยต้องคอยแอบเอาใส่ในรองเท้า ทั้งนี้ ตอนที่คุยกับลูก ลูกถึงขั้นตัดพ้อว่า ไม่อยากอยู่แล้ว อยากตาย ตนเองก็เป็นห่วงลูกจนร้องไห้ฟูมฟายทุกวัน
[อีกเคส] 7 ผู้เสียหาย ถูกบังคับทำงานหลอกเหยื่อลงทุนคริปโต
ขณะเดียวกันวันนี้นางปวีณา ยังได้พาผู้เสียหายอีก 7 ราย ที่ถูกหลอกไปบังคับทำงานหลอกลวงลงทุนคริปโต ที่ประเทศฟิลิปปินส์ มาร้องเรียนกับ ศพดส.ตร. ให้ดำเนินคดีด้วยเช่นกัน โดยผู้เสียหายกลุ่มนี้ ถูกหลอกผ่านการชักชวนทางเฟซบุ๊ก ให้ไปทำงานที่ประเทศฟิลิปปินส์ แต่เมื่อไปถึงกลับถูกบังคับให้เป็นคอลเซ็นเตอร์ โทรศัพท์มาหลอกลวงคนไทยให้ลงทุนคริปโต หากขัดขืน ไม่ทำตาม ก็จะถูกทารุณกรรม ทั้งทำร้ายร่างกาย กระทำอนาจาร ข่มขืน และใช้ไฟฟ้าช็อต ซึ่งเข้าข่ายการค้ามนุษย์ โดยมูลนิธิปวีณาฯ ได้ประสานไปยังกรมการกงสุล และให้การช่วยเหลือกลับมาได้
อย่างไรก็ตาม พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้ได้รับเรื่องทั้ง 2 เรื่องไว้ และได้ให้พนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำผู้เสียหายทันที โดยจะเร่งสืบสวนสอบสวน เพื่อดำเนินคดีทั้งคนไทยที่มาหลอกคนไทยด้วยกันไปทำงาน ทั้งที่อยู่ในไทยและในต่างแดน
รวมถึงจะดำเนินคดีกับคนต่างชาติที่พบความเขื่อมโยงทั้งหมดด้วย โดยสำหรับกรณีของคนที่ถูกหลอกไปทำงานคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศฟิลิปปินส์ หลังจากนี้ จะต้องไล่ตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน รวมถึงนำโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายมาตรวจสอบทั้งหมดเพื่อหาความเชื่อมโยงของทั้งเครือข่าย พร้อมเน้นย้ำว่า จะเร่งรัดการออกหมายจับผู้กระทำผิด โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยเอง เพราะหากคนไทยกลุ่มนี้ไม่ไปร่วมมือกับชาวต่างชาติ คนไทยด้วยกันก็จะไม่มีทางถูกหลอกได้
ภาพ – วิชาญโพธิ